Diamond UFO, Pyramid Shaped UFO, Diamond Shaped UFO
สำหรับผมแล้วความน่าเชื่อถือของไฟล์วีดีโอของยูเอฟโอ
บางครั้งขึ้นอยู่กับ แหล่งข้อมูลนั้น ๆ ด้วยครับ
อย่างเช่นว่ามาจากประเทศไหน ท่านครับ ประเทศบางประเทศที่่อยู่ใกล้ ๆ
กับเรา นี่บางครั้งไม่ยอมให้ภาพยนต์บางประเภทเข้าไปฉายได้นะครับ
อย่างเช่น หนังผี
หนังชาวเกย์หรือสาวประเภทสองที่ส่อไปถึงการสนับสนุนเพศที่ 3 เป็นต้น
การที่มีไฟล์วีดีโอขึ้นมาแล้วออกทีวีในประเทศนี้ได้ต้องถือว่าความน่าเชื่อ
ถือมีพอควรครับ ลองชมดูครับและใช้วิจารณญาณด้วยครับ
เหตุการณ์เกิดที่ มณฑล ซีอาน และเหอหนาน
ผมดูแล้วเป็นยูเอฟโอที่คล้ายกันมาก ๆ ครับ Diamond
ยูเอฟโอนี้บางทีเรียกกันว่า Pyramid Ufo ได้เหมือนกันครับ
ลักษณะของมันแปลกมาก ๆ คือมียูเอฟโอลำแม่ 1 ลำ
และยูเอฟโอลำลูกอีก 1 ลำ
พฤติกรรมของมันคือยูเอฟโอลำลูกเคลื่อนที่รอบ ๆ ยูเอฟโอลำแม่
โดยที่ยูเอฟโอลำแม่อยู่นิ่งเฉย ๆ
พีระมิดยูเอฟโอนี้ตอนหลังไปพบเห็นในหลายที่เลยครับ
ทั้งเจอในเซี่ยงไฮ(17 มี.ค.2010)
เจออยู่ในรัสเซีย และอีกหลาย ๆ ที่ในโลก แปลกมาก และพฤติกรรมคล้าย
ๆ กันด้วย ไม่แน่ใจว่าเป็นลำเดียวกันหรือไม่
แต่ถึงอย่างไรก็ตามแต่
ยูเอฟโอที่ซีอานประเทศจีนที่กระผมลงในท่านดูนี่
เชื่อถือได้มากที่สุดนะครับ ถ้าไปเทียบกับคลิปที่ถ่ายได้จากที่อื่น
ท่านใช้วิจารณญาณด้วยครับ
เจอที่เหอเป่ย
https://www.youtube.com/watch?v=R27Mx9plBsI
อีกคลิปให้ท่านดูที่นี่ครับ เจอที่ซีอานวันที่ 28 มกราคม 2010 ประมาณ 08:40
น.
https://www.youtube.com/watch?v=tJuyfMb05x4
เจอที่มอสโคว์
https://www.youtube.com/watch?v=60m8m0PazRI
คลิปด้านล่างถ่ายได้ที่ประเทศจีนเช่นกันครับ
ได้รับการออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ด้วย
มีความน่าเชื่อถือเช่นกันครับ
คลิปด้านล่างนี้บันทึกได้ที่ สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา
เป็นข่าวออกทีวีด้วย ปรากฎการณ์การพบเห็นนี้พบเห็น
ตั้งแต่เวลา 19.00 - 23.00 น. วันที่ 9 ธันวาคม 2012
ตอนแรกที่เห็นลักษณะเป็นทรง Diamond
ตอนหลังเปล่งแสงได้และดูเหมือนจะเปลี่ยนรูปเป็นทรงกลม คนพบเห็นมีมากพอควร
คลิปยูเอฟโอทรงเพชร(Diamond) ด้านล่างนี้บันทึกได้ที่เมือง Lima
เมืองหลวงของประเทศเปรู เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2014
มันเปล่งแสงได้สวยทีเดียว
คลิปด้านหลังนี้บันทึกได้เมื่อวันที่ 12 พ.ย.2010
เวลาประมาณ 05.30 น.ที่ New York City.
วัตถุประหลาดที่มีรูปร่าง ลักษณะนี้มักจะไม่ค่อยจะเคลื่อนไหว
เท่าที่สังเกตุ
คลิปด้านล่างนี้ถูกอัพโหลดขึ้นยูทูปเร็ว ๆ นี้เองคือวันที่ 18 มกราคม 2015
เป็นวัตถุไม่ปรากฎสัญชาติที่อยู่ภายใต้แสงจันทร์ในคืนที่พระจันทร์เต็มดวง
ลักษณะดูแล้วน่าจะเป็น Diamond UFO
คลิปด้านล่างนี้ถูกบันทึกได้ที่ไต้หวัน เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2013
ดูเหมือนว่าคนที่บันทึกได้จะเป็นครูสอนภาษา
ตอนแรกคนบันทึกเขาเข้าใจว่าวัตถุที่เห็นนี้เป็นเฮลิคอปเตอร์
แต่เมื่อลองดึงซูมภาพเข้ามาใกล้ ๆ จึงรู้ว่าไม่ใช่ บันทึกได้โดยใช้กล้อง
Sony HDR-CX380
ท่านครับ มีคลิปอยู่คลิปหนึ่งผมดูแล้วน่าสนใจครับ
ในส่วนตัวผมดูแล้วในคลิปไม่มีความขัดแย้งว่าเป็นการแต่งภาพขึ้น
แต่อย่างไรก็ตามขอให้ท่านช่วยพิจารณาอีกครั้งครับ
คลิปนี้บันทึกได้ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยประชาชนคนธรรมดา
มันเป็นแสงไฟที่ดูแปลก ๆ และคนบันทึกก็พยายามจะจับภาพให้ได้ชัด ๆ
แต่เข้าใจว่าคนถ่ายน่าจะเป็นชาวบ้านธรรมดาไม่ใช่ช่างกล้องมืออาชีพ
วัตถุแปลก ๆ นี้เคลื่อนที่อยู่เหนือเครนก่อสร้าง
จุดที่น่าสนใจคือตอนที่เขาดึงภาพให้ชัดที่สุด คือในคลิปจะอยู่นาทีที่ 1.50
จะเห็นได้ชัดเจนเลยว่าว้ัตถุนี้ไม่น่าจะใช่เครื่องบิน หรือเฮลิคอปเตอร์แน่นอน
เพราะว่ามันมีแสงสว่างในตัวเองเปล่งออกมา และมีหน้าตาคล้าย ๆ กับก้อนเพชร
ลองชมดูครับแปลกมาก
ดึกในคืนวันที่ 3 กันยายน 2010 ที่ Pujiang Jinhua มณฑลเจ้อเจียง
สาธารณรัฐประชาชนจีน มีวัตถุประหลาดปรากฎขึ้นบนท้องฟ้า
มีพยานเห็นเหตุการณ์หลายคน ลักษณะเป็นวัตถุที่เปล่งแสงได้รูปร่างคล้าย ๆ
กับเพชร เป็นข่าวออกอากาศในประเทศ มีความน่าเชื่อถือครับ
คลิปด้านล่างนี้บันทึกได้ที่เขตปกครองพิเศษฮ่องกง ในบริเวณ Tsing Yi
คนบันทึกบอกว่าตอนแรกก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันคืออะไร
แต่ก็พยายามจะซูมภาพให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ วัตถุนี้ลอยอยู่นาน
ประมาณ 10 นาที
Diamond Shape UFO คลิปนี้คล้าย ๆ
กับจะบันทึกได้ในป่าแห่งหนึ่งในประเทศบราซิล
คลิปนี้ตามคำอธิบายบันทึกได้ที่เยอรมันนี วันที่ 16 มกราคม 2011
ดูเหมือนคนบันทึกจะอยู่ค่อนข้างไกลจากวัตถุ แต่อาศัยการซูมภาพเข้าหาวัตถุ
ในคลิปท่านจะเห็นการดึงซูมของคนบันทึกหลายจังหวะทีเดียว สิ่งที่บันทึกได้
เป็นวัตถุที่ลอยนิ่ง ๆ แต่มีแสงสว่างในตัวเอง รูปร่างคล้าย ๆ กับทรงเพชร
ชมดูครับ
คลิปนี้บันทึกได้ที่ Vero Beach รัฐฟลอริดา 25 กันยายน 2015
สถานที่แห่งนี้อยู่ห่างจากฐานปล่อยจรวดคือแหลมคานาวอรัล
ไปทางใต้ประมาณ 60 ไมล์
คนบันทึกกล่าวว่าตั้งแต่เมื่อวานก่อนการพบเห็นและวันนี้หลังจากการพบเห็น
เขาสังเกตุว่ามีเฮลิคอปเตอร์ทหารมาบินวนเวียนอยู่แถว ๆ นั้นบ่อยมากทีเดียว
ทั้ง ๆ ที่ตามปกติแล้วไม่ค่อยจะเป็นแบบนี้ ดูแล้วเป็นแสงไฟแปลก ๆ ทรงเพชร
อยู่สองลำ ลอยลำอยู่ใกล้ ๆ กัน
บันทึกได้ที่ เมือง Hidrolandia ประเทศบราซิล เดือนธันวาคม ปี 2009
วันที่กระสวยอวกาศโคลัมเบียประสบอุบัติเหตุ ก็มีคนบันทึก Diamond Shaped
UFO ได้เหมือนกันครับ
บันทึกได้ที่แคนาดา เมือง Sudbury ครับ วันที่ี 29 มิถุนายน 2011
เวลาก็ประมาณ 22.00 น. สังเกตุว่าวัตถุนี้ส่ายไปตามการสั่นของกล้อง
คนบันทึกคงจะถือกล้องด้วยมือเปล่า ไม่ได้วางกล้องบนขาตั้งกล้อง
ดูแล้วเป็นวัตถุที่อยู่บนท้องฟ้า ณ เวลานั้นจริง
คลิปนี้บันทึกได้ที่เกาะบาหลี อินโดนีเซีย ปี 2014
ในเทศกาล Jimbaran ของชาวฮินดู
บันทึกได้ที่เมือง Annestown ในเขตแดน Ireland ในตอนค่ำวัน
พุธที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ.2015 บันทึกโดยใช้กล้อง Panasonic
HC-V500 FULL HD with 50x Zoom Camcorder.
บันทึกได้ที่ ศรีลังกา เวลา 19.00 - 19.15 น.
คลิปนี้บันทึกได้ที่ Yakutia อยู่ในเขตแดนของไซบีเรีย ประเทศ
จัดเป็นอีกคลิปที่ดูแปลก ตอนแรกมันมีแสงปรากฎอยู่บนท้องฟ้าไม่
สูงนักจากพื้นดิน จากนั้นมีแสงปรากฎขึ้นด้านบนของวัตถุประหลาด
นี้ วัตถุประหลาดนี้บินขึ้นด้านบนแล้วหายเข้าไปในแสงนั้น ตรงนี้เป็น
ข่าวในหนังสือพิมพ์ siberiantimes ทีเดียวก็ถือว่าเป็นข่าวที่พอจะ
เชื่อถือได้บ้าง เพียงแต่ไม่ทราบแหล่งที่มาหรือผู้ที่บันทึกได้เท่านั้น
ผู้บันทึกก็คงจะเป็นคนในท้องถิ่นแถวนี้
Encounter of the second kind
ในปี ค.ศ.1972(พ.ศ.2515) มีนักค้นคว้าเรื่องยูเอฟโอคนหนึ่ง
ชื่อ คุณ J Allen Hynek ได้ทำการจำแนกชนิดหรือประเภทที่บุคคล
ทั่วโลกอ้างว่ามีประสบการณ์กับการพบเห็นหรือสัมผัสกับ UFO หรือ
มนุษย์ต่างดาวไว้ ซึ่งในยุคสมัยนั้นแบ่งไว้เป็นสามชนิดประเภท(ใน
ปัจจุบันจะจำแนกได้มากกว่านี้)
- Encounter of the first kind จำแนกได้ว่าเป็นการประสบ
พบเห็นยูเอฟโอด้วยสายตาในระยะไกล ก็อนุมานได้ว่าเป็นการมอง
เห็นพบเห็นยูเอฟโอ หรือวัตถุยานพาหนะประหลาดที่คนทั่วโลกอ้าง
ถึง ซึ่งก็มักจะเป็นการพบเห็นยูเอฟโอหรือวัตถุลักษณะนี้บนท้องฟ้า
- Encounter of the second kind อธิบายถึงเป็นการการประสบ
พบเห็นยูเอฟโอหรือยานพาหนะประหลาดที่เคลื่อนที่ได้ทางอากาศ
โดยยานพาหนะนั้นได้ทิ้งร่องรอยต่าง ๆ ไว้กับผู้พบเห็น ไม่ว่าผู้
พบเห็นนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ทั้งนี้แล้วผู้พบเห็นก็ไม่ได้มีโอ
กาศที่จะได้เห็นเจ้าของยานพาหนะนั้น หรือมีปฎิสัมพันธ์ติดต่อพูด
คุยใด ๆ กับเจ้าของยานพาหนะนั้น ก็อาทิเช่น การเคลื่อนที่ผ่านยาน
พาหนะประหลาดนั้นสร้างความเสียหายให้กับวัตถุหรือทรัพย์สินของ
ผู้พบเห็น หรือสร้างความเสียหายให้กับเส้นทางที่มันเคลื่อนที่ผ่าน
เช่นหญ้าหรือต้นไม้บนพื้นหรือตึกอาคารได้รับความเสียหาย หรือ
สร้างความเจ็บปวดหรืออาจจะถึงกระทั่งเสียชีวิตหรือเจ็บป่วยกับผู้
พบเห็นเมื่อผู้พบเห็นไปสัมผัสกับส่วนใดส่วนหนึ่งของยานพาหนะนั้น
หรือว่าไปสัมผัสโดนกับสิ่งที่ยานพาหนะนั้นปล่อยหรือพ่นออกมาเช่น
ควัน หรือท่อไอเสีย หรือวัตถุหรือแสงหรือมวลสารที่ไม่สามารถ
จำแนกชนิดประเภทที่แน่นอนได้
- Encounter of the Third kind ตรงนี้จำแนกได้ว่าเป็นการ
ประสบพบเห็นยูเอฟโอหรือยานพาหนะประหลาดที่เคลื่อนที่ได้ทาง
อากาศ โดยผู้พบเห็นสามารถเข้าไปสัมผัสจับต้อง จนถึงขนาดที่จะมี
ปฎิสัมพันธ์กับเจ้าของยานพาหนะประหลาดชนิดนั้น อาทิเช่น มีการ
สื่อสารกันจนถึงขนาดที่สามารถขึ้นไปโดยสารบนยานพาหนะ
ประหลาดนั้น ๆ ได้
จากประสบการณ์ของผู้คนที่พบเห็นยูเอฟโอทั่วโลก โดย
เฉพาะผู้ที่พบเห็นได้ในระยะใกล้ จนถึงใกล้มาก ๆ แล้วจากรายงาน
พบว่า ยูเอฟโอที่มนุษย์พูดถึงกันนี้ เป็นสิ่งที่ไม่ปลอดภัยร้อย
เปอร์เซ็นต์ คือมีอันตรายซ่อนอยู่ ซึ่งอาจจะเป็นอะไรหลายอย่างที่ชี้
ชัดไม่ได้ เช่น วัตถุหรือสารเคมีหรือสารที่เกิดจากการเผาไหม้ของ
ระบบเชื้อเพลิงของมันที่ถูกปล่อยออกมาแล้วผู้พบเห็นไปสัมผัสเข้า
อย่างไม่ตั้งใจหรือตั้งใจโดยคิดไม่ถึงว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่มีอันตราย
ความเจ็บป่วยจากการสัมผัสนี้เป็นไปได้ว่าจะทำให้เกิดความเจ็บป่วย
ในระยะสั้น จนถึงการป่วยอย่างเรื้อรังและระยะยาว
มีอยู่เหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น นานมาแล้วเหมือนกัน
ประมาณสี่สิบกว่าปีผ่านมาแล้ว เรื่องนี้เกิดขึ้นในวันที่ 29 ธันวาคม
ค.ศ.1980 เวลาโดยประมาณ 21.00 น. ในเขตเมือง Liberty
County มลรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา
รถยนต์คันหนึ่งที่มีผู้โดยสาร โดยสารมาสามคน ได้ขับรถมาตาม
ทางหลวงหมายเลข 1485 นี้ คนทั้งสามกำลังเดินทางกลับบ้านหลัง
ทานอาหารเย็นแล้ว เจ้าของรถคันนี้เป็นสุภาพสตรีชื่อคุณ Betty
Cash ซึ่งบนรถมีผู้โดยสารอีกสองคนคือเพื่อนของคุณ Betty ชื่อ
คุณ Vicki Landrum และก็หลานชายอายุ 7 ปีของคุณ Vicki ชื่อ
Colby รถคันนี้ขับผ่านถนนในส่วนที่มีป่าไม้ค่อนข้างทึบ คุณ Vicki
Landrum บอกกับคนขับคือคุณ Betty ว่าเธอเหมือนจะมองเห็น
อะไรบางอย่างเป็นแสงอยู่บนท้องฟ้าข้างหน้า น่าจะสูงไม่มากนัก
ประมาณอยู่เหนือต้นไม้ ซึ่งคุณ Betty ได้ลดระดับความเร็วของรถ
ลงแล้วมองไปข้างหน้าซึ่งเธอก็ได้มองเห็นแสงประหลาดนี้เช่น
เดียวกัน ซึ่งหญิงทั้งสองลงความเห็นว่าสิ่งที่มองเห็นนี้น่าจะเป็น
อากาศยานบางชนิดที่กำลังมุ่งหน้าเพื่อไปลงจอดยังสนามบิน
นานาชาติ Houston ซึ่งเป็นสนามบินที่อยู่ไม่ไกลนัก
แต่ความแปลกก็คือเมื่อรถขับเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ แสงที่เห็น
นี้ก็สว่่างขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกัน ซึ่งตอนนี้ทำให้คุณ Betty ต้องชลอ
ความเร็วลงอีกเพราะเข้าใจว่าแสงที่เห็นนี้บางทีอาจจะเป็นไฟส่อง
สว่างจากรถบรรทุกที่อยู่ข้างหน้าก็เป็นได้
เมื่อขับเข้าใกล้ไปเรื่อย ๆ สิ่งที่เห็นนี้ปรากฎชัดว่าไม่ใช่เครื่องบิน
หรืออากาศยานใด ๆ ที่เคยรู้จัก เพราะว่ารูปร่างมันดูคล้ายกับเพชรที่
ส่องสว่างอยู่ และด้านล่างของมันก็ปล่อยแสงหรือควันอะไรบาง
อย่างออกมาด้วย คะเนความสูงของอากาศยานประหลาดนี้น่าจะอยู่
สูงจากพื้นโดยประมาณ 100 - 150 ฟุต ซึ่งถือได้ว่าอยู่ไม่สูงจาก
พื้นเลย คุณ Betty ภายหลังให้ปากคำว่าอากาศยานประหลาดนี้น่า
จะมีขนาดโดยประมาณแท๊งน้ำขนาดใหญ่ที่สามารถพบเห็นได้ตาม
อาคาร ผิวภายนอกมองดูคล้ายจะเป็นโลหะ รูปทรงคล้ายเพชรที่ถูก
ตัดส่วนหัวและส่วนปลายออก มันเปล่งแสงสว่างออกมาจากตัวมัน
เอง และที่ด้านปลายของเพชรนี้ก็เหมือนจะมีแสงหรือกลุ่มควัน
ประหลาดถูกปล่อยออกมา
อากาศยานประหลาดนี้เคลื่อนที่อย่างช้า ๆ เข้ามาใกล้ แล้ว
หยุดนิ่ง คุณ Betty ซึ่งก็ไม่รู้เช่นกันว่าควรจะทำอย่างไรกับเรื่อง
ประหลาดเรื่องนี้เกิดความคิดโดยเฉียบพลันว่าน่าจะถอยรถออก
แล้วกลับหัวรถ และวิ่งกลับไปยังเส้นทางเดิมที่วิ่งมา แต่ว่าเกิดเรื่องที่
ไม่พึงประสงค์ขึ้นคือ ซึ่งตอนนี้อากาศยานประหลาดที่ห่างจากรถ
เพียงแค่ไม่กี่ฟุต สิ่งหนึ่งที่สังเกตุเห็นได้อย่างชัดเจนคืออุณหภูมิ
ภายในห้องโดยสารของรถเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก จนถึงขนาดที่เรียก
ว่าร้อนพอประมาณ คุณ Betty ตัดสินใจที่จะลงจากรถแล้วเดินไปดู
ให้ใกล้ ๆ ว่าอากาศยานนี้มันคืออะไรกันแน่ เธอเปิดประตูรถลงมา
แล้วเดินเข้าไปให้ใกล้กับอากาศยานประหลาดนี้ให้มากที่สุด ซึ่งก็
ปรากฎว่า ความร้อนก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเดินเข้าไปใกล้ จนถึงใต้
แสงที่อากาศยานประหลาดนี้เปล่งออกมา ซึ่งแสงนี้ได้สัมผัสกับ
ร่างกายของคุณ Betty คุณ Betty กล่าวว่าเธอไม่สามารถจะทน
ร้อนได้อีกต่อไป ตัดสินใจวิ่งกลับไปยังรถยนต์ของเธอ เมื่อคุณ
Vicki วิ่งกลับไปถึงที่รถได้เธอก็รีบร้อนที่จะเข้าไปข้างในรถ แต่ตอน
ที่มือของเธอไปจับเข้ากับที่เปิดประตูเธอถึงกับต้องสะดุ้งสุดตัว
เพราะว่าตอนนี้ที่จับประตูเพื่อเปิดร้อนมาก ถึงขั้นเธอต้องดึงแขนเสื้อ
ของเธอมาจับกับที่เปิดเพื่อที่จะได้เปิดประตูเข้าไปได้ ตอนเธอกลับ
ไปในรถของเธอได้ อากาศภายในรถร้อนมาก คุณ Betty เผลอ
วางมือไปที่หน้าปัทม์บอกความเร็ว ความเร็วรอบ เกจน้ำมันซึ่งเป็น
แผงพลาสติก(dashboard) ทำเอานิ้วมือของเธอเป็นรอยฝังลงไป
เลย เนืองจากความร้อนที่สูงมากจนเกือบ ๆ จะทำให้พลาสติกแผง
หน้าปัทม์ละลาย
เครื่องยนต์ของรถยนต์ซึ่งตอนนี้ยังไม่สามารถสตาร์ทได้ อาจ
จะเนื่องจากลำแสงประหลาดที่ส่องลงมานี้ ก็สุดท้ายอากาศยาน
ประหลาดที่บินหายไปจากจุดดังกล่าว ซึ่งก็แปลกเหลือเกินว่ามี
เฮลิคอปเตอร์ของกองทัพอากาศบินมาวนเวียนอยู่ในบริเวณนั้น คุณ
Betty กล่าวว่ามากันเป็นฝูงบินเลยทีเดียว ไม่แน่ชัดว่าเฮลิคอปเตอร์
ฝูงนี้มาเพื่อภารกิจอะไรกันแน่ จะมาเพื่อไล่ล่าอากาศยานประหลาด
นี้ หรือว่ามาเพื่อปกป้องอากาศยานลำนี้ หรือว่าเฮลิคอปเตอร์ฝูงบินนี้
จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับภารกิจครั้งนี้ หรือเป็นไปได้ไหมว่าบุคคลทั้ง
สามที่เป็นพลเรือนนี้มาอยู่ในเส้นทางของภารกิจลับครั้งนี้โดย
บังเอิญ ทราบแต่เพียงว่าเฮลิคอปเตอร์ฝูงบินนี้ บินตามไปในทิศทาง
ที่อากาศยานลึกลับที่บินหายไป
คุณ Betty สุดท้ายจึงต้องขับรถกลับบ้าน โดยได้ไปส่งเพื่อน
ของเธอและหลาน จากนั้นจึงขับรถเข้าบ้าน หลังจากที่เข้าบ้าน
เรียบร้อยแล้วคุณ Betty เกิดอาการป่วยขึ้นมาอย่างรุนแรงโดยไม่
ทราบสาเหตุ คือ เกิดอาการวิงเวียนและอาเจียนอย่างหนัก วันรุ่งขึ้น
เธอโทรกลับไปหาคุณ Vicki เพื่อสอบถามและเล่าอาการของเธอให้
เพื่อนของเธอฟัง ซึ่งคุณ Vicki ก็ยอมรับว่าเธอเองกับหลานของเธอ
ก็มีอาการอย่างที่ว่าเช่นเดียวกัน ก็หลายวันผ่านไปอาการของคุณ
Betty ดูท่ายังไม่ค่อยจะดีขึ้นมากนัก ยิ่งไปกว่านั้นผิวหนังของคุณ
Betty ก็เกิดแผลพุพองขึ้นมาอีก แผลที่ว่านี้คล้าย ๆ เป็นรอยไหม้
ริมฝีปากบวม หูบวม
ถึงขั้นต้องไปเข้าโรงพยาบาล Parkway ที่เมือง Houston เพื่อ
ปรึกษาแพทย์และตรวจให้ละเอียด จากการตรวจอย่างละเอียดแล้ว
พบว่าไม่เพียงแต่เธอจะมีแค่รอยไหม้เท่านั้น แต่ว่าผมบนศีรษะของ
เธอบางส่วนได้หลุดร่วงไปด้วย ซึ่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าลักษณะ
เช่นนี้ดูคล้ายกับไปสัมผัสกับรังสีที่มีความเข้มข้นสูงมาก แต่ก็แปลก
เช่นกันที่ว่าคุณ Betty ยังมีชีวิตอยู่ เพราะว่าถ้าเป็นกรณีบุคคลอื่น
เท่าที่เห็นถ้าไปสัมผัสกับรังสีที่รุนแรงขนาดนี้น่าจะเสียชีวิตไปเพียง
ไม่กี่ชั่วโมงแล้ว ร่างกายของคุณ Betty เปลี่ยนไปขนาดที่ว่าญาติ
ของเธอตอนไปเยี่ยมแทบจะจำเธอไม่ได้เลยว่านี่คือคุณ Betty
ในส่วนของคุณ Vicki ก็มีอาการบวมที่มือ เกิดแผลขึ้นที่มือ เล็บ
หลุด หกสัปดาห์ภายหลังเหตุการณ์นี้คุณ Vicki ผมเริ่มหลุดร่วง เกิด
อาการอาเจียน ซึ่ง Colby ก็เกิดเหตุการณ์ผมร่วงเช่นเดียวกัน
คุณหมอ Shoney ซึ่งให้การดูแลคุณ Betty อยู่ ทำการตรวจสอบ
ทุกวิถีทางแต่ก็ไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่าคุณ Betty ไปโดนหรือไป
สัมผัสกับอะไรกันแน่จึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น คุณ Betty เสียค่า
ใช้จ่ายในการรักษาไปมากถึงประมาณ 10,000 เหรียญสหรัฐฯ ซึ่ง
เป็นจำนวนเงินที่มากโขทีเดียวสำหรับในยุคสมัยเมื่อสี่สิบปีก่อน ซึ่งก็
ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำอย่างไรกับเงินที่เสียไปจำนวนนี้ ซึ่งเธอเอง
ก็คาดไม่ถึงว่าจะต้องมาเกิดเหตุการณ์นี้ เธอถึงขั้นไปขอคำปรึกษา
กับวุฒิสมาชิก Lloyd Bentsen และ John Tower ซึ่งท่าน
วุฒิสมาชิกทั้งสองก็แนะนำให้ไปที่ฐานทัพอากาศที่อยู่ในบริเวณที่
ใกล้กับจุดเกิดเหตุการณ์มากที่สุดและเขียนคำร้อง ก็ที่ฐานทัพ
อากาศมีเจ้าหน้าที่มาขอรายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
และกล่าวว่าเธอควรจะไปจัดหาทนายความเอกชนมาเพื่อทำการ
ฟ้องร้องชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้น ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่คุณ Betty ไม่
ต้องการที่จะได้ยินเป็นอย่างยิ่งเพราะว่าสิ่งที่เธอต้องการคือการ
ชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมดอย่างไม่มีเงื่อนไขและโดยทันที เพราะว่า
ในสถานที่เกิดเหตุเธอและเพื่อนของเธอและหลานของเพื่อนเธอ
พบเห็นอากาศยานเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพอากาศหลายลำ ซึ่งก็
คงจะไม่ต้องสงสัยว่าทางกองทัพอากาศอาจจะทราบเรื่องนี้ดี
เรื่องนี้ดำเนินไปหลายปีในกระบวนการยุติธรรม สุดท้ายแล้วมินิ
บัสปะทะรถพ่วงหิน ในวันที่ 21 สิงหาคม 1986 คดีนี้ก็ถูกยกฟ้อง ก็
ด้วยเหตุผลว่าคุณ Betty และเพื่อนของคุณ Betty และหลานของ
คุณ Vicki ไม่สามารถที่จะพิสูจน์ได้ว่าเฮลิคอปเตอร์ที่เธอและเพื่อน
ของเธอกล่าวถึงนี้ จะเป็นเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ
จริง อีกอย่าง อากาศยานประหลาดซึ่งมีรูปทรงคล้ายเพชรตามที่
คุณ Betty และเพื่อนของเธอกล่าวถึงก็ไม่เคยจะมีอยู่ในสารบบใด ๆ
ของอากาศของกองทัพอากาศสหรัฐฯ หรือเป็นยานพาหนะที่มีอยู่
จริงบนโลกใบนี้
ชีวิตของคุณ Betty หลังจากที่ได้ประสบกับเหตุการณ์อัน
ประหลาดนี้แล้ว ต้องเดินเข้า ๆ ออก ๆ โรงพยาบาลอยู่บ่อยครั้ง ซึ่ง
ชีวิตของเธอสิ้นสุดลงในปี ค.ศ.1998 สิริรวมอายุได้ 71 ปี ส่วนคุณ
Vicki เสียชีวิตลงในปี ค.ศ.2007 อายุได้เกือบ 84 ปี ก็เป็นที่สันนิ
ฐานกันว่าเหตุที่คุณ Betty มีอาการเจ็บป่วยมากกว่าคุณ Vicki และ
หลานของคุณวิคกี้ก็เนื่องจากทิ้งรถไว้โดยเปิดประตูรถออกมาแล้ว
วิ่งไปที่ลำแสงที่ส่องออกมา และผิวหนังก็ได้ไปสัมผัสกับลำแสง
ประหลาดนี้โดยคาดไม่ถึงว่ามันจะมีอันตรายเป็นอย่างมาก ลำแสงนี้
อาจจะเป็นการแตกตัวของอากาศหรือของเสียที่อากาศยาน
ประหลาดนี้ปล่อยออกมาหรือเป็นผลมาจากการเคลื่อนที่ของ
อากาศยานประหลาดนี้ ก็มาดูที่พยานแวดล้อมบ้างว่ามีคนอื่นใด
พบเห็นเฮลิคอปเตอร์ฝุงนี้หรืออากาศยานประหลาดนี้บ้าง จากการ
ตรวจสอบพบว่า มีเจ้าหน้าที่ตำรวจท่านหนึ่งอ้างว่าพบเห็น
เฮลิคอปเตอร์ฝูงบินนี้จริง
โดยจากการสังเกตุมีมากถึงประมาณ 12 ลำ แต่ว่าอากาศยาน
ประหลาดรูปทรงเพชรตามที่คุณ ฺBetty กล่าวถึงนี้ไม่ปรากฎว่า
พบเห็นแต่อย่างใด ตอนที่คุณ Betty ยังไม่เสียชีวิตคุณ Betty
กล่าวว่าได้เจอกับนักบินเฮลิคอปเตอร์คนหนึ่งซึ่งอ้างว่าเขาคือหนึ่ง
ในนักบินที่ทำการบินตามอากาศยานประหลาดในคืน ๆ นั้นโดย
บังเอิญ แต่พอนักบินท่านนี้ทราบว่าหญิงคนที่กำลังคุยด้วยคือคุณ
Betty ซึ่งกำลังมีคดีความกับกองทัพอากาศจึงปฎิเสธที่จะตอบ
คำถามใด ๆ อีก
"เจอ ไม่จ่าย จบ" "ไม่ใช่ ไม่จ่าย จบ"
แต่สุดท้ายแล้ว ภายหลังหลายปีผ่านไป มีผู้คนแถวนั้นถ่ายภาพวัตถุ
ประหลาดลำนี้ได้จริง ๆ ครับ ภาพที่ถ่ายได้เป็นดังด้านล่างนี้ครับ
ด้านบนนี้ผมมีคลิปอยู่คลิปหนึ่ง ดูแล้วมีความน่าสนใจมากครับ
มันเป็นคลิปที่เกิดกับคนไทย ในคลิปคนให้สัมภาษณ์เป็นคนไทย
ทั้งหมดครับ เหตุการณ์เกิดบนผืนแผ่นดินไทย เหตุการณ์นี้เกิดมา
นานพอสมควรเหมือนกัน น่าจะราว ปลายปีปี พ.ศ.2531 แต่
เหตุการณ์นี้ถูกนำมาออกอากาศในปี 2539 ผมอยากจะให้ดูตามใน
คลิปในช่วงเวลาในคลิปประมาณนาทีที่ 15.08 เหตุการณ์เกิดขึ้นที่
โรงเรียนหมู่บ้านเด็ก จ.กาญจนบุรี ตามในคลิปคนที่อยู่ในเหตุการณ์
ก็จะชื่อคุณชัยณรงค์ ฉิมชูใจ(ผู้ช่วยครูใหญ่) เขาเล่าเหตุการณ์ที่
เกิดขึ้นที่ได้เห็นเอง และอีกคนคือคุณสุภาพสตรีในคลิปที่ชื่อคุณบุญ
นำ ยามาโมโต้(เป็นครูสอนวิชาวิทยาศาสตร์) ที่ได้เห็นเหตุการณ์
เช่นกัน อาจารย์ทั้งสองท่านสรุปสิ่งที่เกิด
ขึ้นเมื่อวัตถุบินลึกลับบินผ่านไปในระยะใกล้ ซึ่งจากการสืบค้นของ
กระผมแล้วให้การตรงกันทุกอย่างกับสิ่งที่คนบนโลก ณ ประเทศอื่น
ที่มีประสบการณ์เช่นนี้เหมือนกัน คือ ยูเอฟโอหากปรากฎในระยะที่
ใกล้กับคนมาก หรือใกล้กับวัตถุสิ่งของมาก ๆ แล้ว มันมักจะสร้าง
ความเสียหายในทางใดทางหนึ่ง เช่นในกรณีเช่นในคลิปที่เล่ามานี้
ทั้งบัลลาส สตาร์เตอร์ หลอดไฟ ใบไม้ ต้นไม้ เกิดความเสียหายหมด
หากว่ามันบินผ่านไปในระยะที่ใกล้มาก ถึงขั้นไฟบริเวณนั้นดับ
ทั้งหมด ขั้วไฟเมื่อถอดมาตรวจสอบแล้วถึงขั้นกลายเป็นจุดสีดำ(คือ
เกิดการไหม้) ใบไม้ในจุดที่มันบินผ่านเกิดเป็นรอยไหม้ และทั้งนี้แล้ว
สิ่งที่มันปล่อยหรือเปล่งออกมา เช่น แสงของมัน ก็คล้ายกับจะมี
แรงดึงดูดหรือมีผลกับร่างกายคนที่อยู่ใกล้ด้วย คลิปนี้เป็นคลิปที่น่า
สนใจมาก ๆ ครับ มันคือคำให้การของคนในเหตุการณ์ซึ่งเป็นคน
ไทยเมื่อราวสามสิบปีเศษ ๆ และเหตุการณ์ก็เกิดบนผืนแผ่นดินไทย
เอง คนไทยที่อยู่ในเหตุการณ์ในวันนั้นมีร่วมสิบคน ตรงนี้หากท่าน
ได้ดูในคลิปต่อไปจะพบว่าเหตุการณ์ที่คนไทยพบเห็นยูเอฟโอบนผืน
แผ่นดินไทยนี้ สืบค้นไปได้ไกลถึง 50 ปี(ประมาณปี พ.ศ.2515 -
2516) คนที่ประสบเหตุการณ์ชื่อคุณประเสริฐ เบี้ยวปลื้ม และคุณ
ประเทือง รักษาทรัพย์ ลองเข้าไปชมดูครับ เป็นคำให้การของคนใน
พื้นที่ เขาไม่น่าจะมีเหตุผลอื่นที่จะมาให้การโกหกครับ มันเป็น
วิจารณญาณของผู้ชมเอง
ก็มีเรื่องประหลาดอีกเรื่องผ่านมาแล้วนานเหมือนกัน คือประมาณ
30 ปี ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์กับคุณ Betty และคุณ Vicki เหตุเกิด
ที่นอกเมืองบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนติน่า คนที่เจอดูเหมือนจะ
เป็นวิศวกรท่านหนึ่งชาวเวเนซูเอล่า ชื่อ Enrique Botta วิศวกรท่าน
นี้กำลังจะเรียนจบการศึกษาระดับปริญญาเอก วิศวกรท่านนี้เป็น
วิศวกรที่เชี่ยวชาญงานเฉพาะอย่าง ได้ถูกเชิญให้เดินทางไปยัง
ประเทศอาเจนติน่าในราวปี ค.ศ 1950 เพื่อที่จะไปทำงานโปรเจคห
นึ่ง ก็ในเช้ามืดของวันหนึ่งวิศวกรท่านนี้ได้ขับรถยนต์ส่วนตัวที่เช่าไว้
เพื่อเดินทางไปยังพื้นที่นอกเมืองบัวโนสไอเรส เพื่อไปยังสถานที่ที่
ต้องไปทำงาน ก็เนื่องด้วยตอนนั้นเป็นเวลาเช้ามืดซึ่งก็ยังไม่มีคน
หรือรถเดินทางหรือขับผ่านมากนัก คุณ Enrique สังเกตุไปที่จุด
หนึ่งของข้างทางพบว่ามีอะไรบางอย่างมีลักษณะคล้ายรถยนต์พลิก
คว่ำอยู่ คุณ Enrique ตัดสินใจจอดรถเข้าข้างทางแล้วลงไปดูให้ชัด
ๆ ว่าจะใช่รถยนต์ที่บังเอิญมาพลิกคว่ำเกิดอุบัติเหตุหรือไม่ จากการ
เดินเข้าไปใกล้กับวัตถุนี้พบว่า วัตถุที่พลิกคว่ำอยู่นี้ ไม่มีทั้งหน้าต่าง
และประตู ลักษณะโดยรวมดูคล้ายโ่ลหะทรงกลม จากการสำรวจอ
ย่างละเอียดแล้วพบว่ามีจุดหนึ่งบนโลหะนี้ดูคล้ายกับเป็นรูหรือเป็น
ทางให้เปิดได้ซึ่งก็น่าจะเป็นทางเข้าไปด้านในของยานพาหนะนี้ คุณ
Enrique หาทางเข้าไปข้างในจนเจอจากการเข้าไปด้านในพบว่ามัน
มืดมาก ยกเว้นเพียงมีไฟเล็ก ๆ ดวงหนึ่งกระพริบ ๆ อยู่ด้านบน
เพดาน สักพักหนึ่งสายตาของคุณ Enrique เริ่มชินกับความมืดจึง
พบความจริงว่า จริง ๆ แล้วข้างในยานพาหนะนี้มีอะไรบางอย่างอยู่
ด้วย สิ่งที่มองเห็นคือแผงวงจรควบคุม มิเตอร์บางอย่าง เกจหลาย
อย่าง ซึ่งก็ไม่เคยพบเห็นที่ใดมาก่อน ทั้งนี้ยังมีที่นั่งขนาดเล็กที่ดู
แล้ววัสดุคล้ายโ่ลหะซึ่งบนที่นั่งทั้งสามนี้เจอสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดเล็ก
คือมีขนาดร่างกายที่เล็กกว่าคนทั่ว ๆ ไปนั่งอยู่ จากปากคำของคุณ
Enrique ที่ให้ไว้คือสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กนี้ประมาณความสูงน่าจะอยู่ที่
ประมาณ 4 ฟุต นั่งหมดสติบนเก้าอี้สวมใส่เสื้อผ้าที่ดูคล้ายกับโลหะสี
เงินซึ่งเป็นชุดที่แนบกับลำตัว
คุณ Enrique ได้ออกเสียงเรียกคนทั้งสาม แต่ว่าไม่มีเสียง
ตอบใด ๆ ออกมา คุณ Enrique เดินเข้าไปใกล้บังเอิญว่ามือของ
คุณ Enrique ไปสัมผัสกับเก้าอี้ของเขาอย่างบังเอิญซึ่งคุณ
Enrique กล่าวว่าแทนที่มันจะแข็งเหมือนโลหะตามสีที่เห็นว่าเป็น
โลหะ มันกลับนุ่มคล้ายยางหรือฟองน้ำบางประเภท จากการสัมผัส
กับร่างกายของสิ่งมีชิวิตที่หมดสติทั้งสามพบว่า ร่างกายแข็งเกร็ง
แต่ดูคล้ายคนเพียงแต่กล้ามเนื้อจะน้อยกว่า ถึงจุดนี้คุณ Enrique
ค่อนข้างแน่ใจว่าสิ่งมีชีวิตที่เห็นทั้งสามนี้น่าจะเสียชีวิตไปแล้ว
คุณ Enrique ตัดสินใจที่จะออกมาจากยานพาหนะประหลาดนี้
เขาวิ่งตรงไปยังรถที่จอดทิ้งไว้ แล้วขับกลับไปยังที่พักอีกครั้ง คุณ
Enrique บอกกับเพื่อนร่วมงานของคุณ Enrique คือคุณ Horacio
และคุณ Leo ถึงเรื่องที่เมื่อสักครู่ไปเจอมา ชายทั้งสามปรึกษากัน
แล้วลงความเห็นว่าควรจะมาดูที่เกิดเหตุอีกครั้งให้ชัด ๆ แต่ดีที่สุดนำ
อาวุธติดตัวไปด้วยก็น่าจะดี ซึ่งชายทั้งสามได้นำปืนพกติดตัวมาด้วย
แต่เมื่อมาถึงสถานที่เกิดเหตุอีกครั้ง สิ่งที่คุณ Enrique กล่าวถึงว่า
เจออะไรบ้าง ตอนนี้มีเพียงกองขี้เถ้ากองหนึ่งอยู่ ณ บริเวณนี้ ยาน
พาหนะประหลาดหายไปแล้วโดยไม่ทราบแน่ชัดว่าหายไปได้
อย่างไร คุณ Enrique ได้ทดลองกอบขี้เถ้าที่เห็นบนพื้นนี้ด้วย
มือขึ้นมากำมือหนึ่งเพื่อดูให้ชัด ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ คือของเขาที่ไป
สัมผัสกับขี้เถ้าประหลาดนี้ถึงกับเปลี่ยนสีเป็นสีม่วง ๆ คล้าย ๆ กับ
ฟกช้ำดำเขียว และเป็นเช่นนี้ไปหลายวันทีเดียว
ชายทั้งสามออกสำรวจบริเวณโดยรอบเผื่อว่าจะเจออะไร ก็ไม่
สามารถค้นหาสิ่งผิดปกติได้ ยกเว้นแต่บนท้องฟ้าจะมองเห็นแสง
ประหลาดเป็นจุดไฟสีแดงสามจุดเคลื่อนที่บนท้องฟ้า ชายทั้งสาม
ตกใจมากพากันวิ่งกลับไปที่รถยนต์ที่จอดไว้อย่างเร็ว เพียงแต่ว่า
หนึ่งในชายทั้งสามได้ถ่ายภาพได้สองภาพ แต่เป็นภาพที่เบลอมาก
เนื่องจากถ่ายด้วยความรีบ
มือของคุณ Enriqe เกิดอาการบวมมากอย่างผิดปกติหลังจาก
ที่กลับมายังที่พักแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น รอยขอบตาที่ใส่แว่นตาก็เกิด
รอยคล้ำประหลาดขึ้นและเป็นแบบนี้ไปหลายสัปดาห์เลย ไม่เพียง
เท่านั้นดูเหมือนจะมีอาการข้างเคียงอื่น ๆ เกิดขึ้นอีกคือมีอาการไข้
ในกรณีเช่นนี้ คุณ Enrique ตัดสินใจในลักษณะเดียวกันกับคุณ
Betty คือไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล ก็เช่นเดียวกันแพทย์ได้
วินิจฉัยว่าน่าจะไปสัมผัสเข้ากับรังสีบางชนิด ซึ่งก็ได้ทำการทดสอบ
โดยตรวจร่างกายอย่างละเอียดและตรวจหารังสีที่เป็นไปได้ว่าจะ
ตกค้างอยู่ในร่างกาย เพียงแต่แปลกมากไม่สามารถตรวจพบรังสี
ชนิดใด ๆ ได้
เหตุการณ์ของคุณ Enrique นี้ ทางคุณ Enrique และเพื่อน
ของคุณ Enrique ที่อยู่ในเหตุการณ์ไม่เคยปริปากบอกใคร จน
กระทั่งหลายปีต่อมาคุณ Enrique ได้มีโอกาสไปร่วมงานงานหนึ่ง
เกี่ยวกับยูเอฟโอและสิ่งมีชีวิตนอกโลก จึงได้ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดถึง
ให้กับผู้เข้าร่วมชุมนุมฟังกัน ก็ภายหลังเหตุการณ์นี้ได้ถูกเขียนเป็น
หนังสือขึ้นมา ชื่อหนังสือ Situation Red
เหตุการณ์ทั้งสองเหตุการณ์ที่ได้กล่าวถึง คือเหตุการณ์ของ
คุณ Betty และเหตุการณ์ของคุณ Enrique เป็นเหตุการณ์ที่ผู้
ประสบพบเห็นได้รับอาการเจ็บป่วยจากการเข้าไปสัมผัสกับส่วนหนึ่ง
ส่วนใดของยูเอฟโอ หรือจากเจ้าของยานพาหนะนี้ หรือจากสารหรือ
สิ่งแปลกปลอมหรือรังสี หรือไอเสียใด ๆ ที่อาจจะถูกปล่อยออกมา
จากยานพาหนะประหลาด หรือเป็นไปได้ไหมว่าสิ่งมีชีวิตประหลาด
เหล่า โดยปกติแล้วบนดาวที่เขาอยู่อาศัยก็อยู่ในสิ่งแวดล้อมลักษณะ
เช่นนี้อยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อเขาคิดค้นยานพาหนะที่จะเดินทางไปยังที่อื่น
หรือดาวดวงอื่นได้ ก็จำเป็นต้องจัดสิ่งแวดล้อมให้ใกล้เคียงกับสิ่ง
แวดล้อมบนดาวเขาให้มากที่สุด เพียงแต่สิ่งแวดล้อมลักษณะเช่นนี้
ไม่เหมาะกับการอยู่อาศัยของมนุษย์ เพราะว่ามันเป็นอันตรายกับ
ร่างกาย
มีเรื่องอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นลักษณะที่เกี่ยวกับยูเอฟโอที่ทำร้ายหรือ
ทำอันตรายกับมนุษย์บนโลก เรื่อง ๆ นี้พอจะเชื่อถือได้ครับ เพราะว่า
ผู้ถูกทำร้าย เป็นผู้ที่ออกมายอมรับและให้ข่าวให้ข้อมูลเอง
วันที่ 20 พฤษภาคม ค.ศ.1967 ประมาณเวลา 23.00 น. ชายผู้
หนึ่งอายุในขณะนั้น 50 ปี ชื่อว่าคุณ Stefan Michalak กระเสือก
กระสนเข้าไปในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเมืองวินิเพ็ค ประเทศแคน
นาดา ซึ่งคนที่พาคุณ Stefan มายังโรงพยาบาลก็คือลูกชายคนโตของคุณ Stefan นั่นเอง ตอนนี้คุณ Stefan กำลังต้องการความช่วย
เหลือทางการแพทย์อย่างเร่งด่วนที่สุด
แพทย์และพยาบาลในโรงพยาบาล เข้ามาให้ความช่วยเหลือตาม
ที่ต้องการ คุณ Stefan ยังพอพูดได้ ทางแพทย์จึงถามว่ามันเกิด
อะไรขึ้น คุณ Stefan กล่าวว่าที่หน้าอกเขามีรอยไหม้อย่างรุนแรง
และตอนนี้ก็มีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ปวดศีรษะ มึนงง อาเจียน จน
แทบจะเดินต่อไปไม่ได้ ทางแพทย์พิจารณาแล้วว่าชายผู้นี้จำเป็น
ต้องได้รับการรักษาหรือวินิจฉัยอย่างเร่งด่วน จึงส่งชายผู้นี้เข้าห้อง
ฉุกเฉิน แพทย์ที่ให้การรักษาบอกให้คุณ Stefan แสดงบาดแผลที่
บอกว่าถูกไหม้ให้ดูหน่อย คุณ Stefan ถอดเสื้อออกเพื่อโชว์
บาดแผลที่ว่านี้ สิ่งที่แพทย์ที่เป็นเจ้าของไข้ของคุณ Stefan เห็น ถึง
กับทำให้อึ้งเลย เพราะว่ามันเป็นบาดแผลจากรอยไหม้ที่แปลก
มาก(ตามรูปด้านล่าง)
มันเป็นรอยแผลไหม้บริเวณหน้าอกส่วนบน และถัดลงมาทาง
หน้าอกด้านล่างถึงบริเวณท้อง เป็นรอยไหม้เช่นเดียวกันเพียงแต่
เป็นรอยไหม้ที่ดูแปลก ๆ คือเป็นจุด ๆ ดูคล้ายตารางหมากรุก ซึ่ง
รอยไหม้ลักษณะนี้ทางแพทย์กล่าวว่าไม่เคยพบเห็นมาก่อน แพทย์
ได้ถามคุณ Stefan ว่าบาดแผลที่เห็นนี้มันมาได้อย่างใด มีที่มา
อย่างใด คุณ Stefan กระอักกระอ่วนใจ ไม่รู้ว่าจะบอกหรือควรจะ
บอกความจริงอย่างไร บอกไปแล้วจะดีหรือไม่ หรือว่าจะมีคนเชื่อสิ่ง
ที่เขาพูดไหม สิ่งที่พูดออกไปอาจจะทำให้เขาและครอบครัวกลาย
เป็นตัวตลกได้ในทันที
สุดท้ายคุณ Stefan ตัดสินใจเล่าเรื่องจริงออกมา การบอก
ความจริงเป็นสิ่งที่เหมาะที่สุดแล้วในเวลานั้นไม่ว่าคนฟังจะเชื่อหรือ
ไม่ก็ตามแต่ และสิ่งที่คุณ Stefan ได้เล่าออกมาทำให้แพทย์ที่เป็น
เจ้าของไข้ในเวลานั้นถึงกับอึ้งพูดไม่ออก และคำให้การของคุณ
Stefan นี้ก็กลายเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วประเทศแคนาดาและทั่วโลกใน
เวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง และที่สำคัญสิ่งที่คุณ Stefan เล่าออกมาก็เป็นที่
สนใจมากสำหรับหน่วยข่าวกรองกลางของทั้งสหรัฐฯ และแคนนาดา
สิ่งที่คุณ Stefan เล่าออกมานี้ ภายหลังถูกตั้งชื่อว่าเป็นเหตุการณ์
"Falcon Lake Incident"
คุณ Stefan ดั้งเดิมเป็นชาวโปแลนด์ เกิดและเติบโตที่โปแลนด์
ในยุคสมัยสงครามโลกครั้งที่สองเคยถูกทหารนาซีเยอรมันจับเข้า
แคมป์กักกัน(Concentration Camp) ชื่อ Gross Rosen Camp
อยู่ในประเทศโปแลนด์นั่นเอง ซึ่งตอนที่อยู่ในแคป์กักกัน คุณ
Stefan มีประสบการณ์พบเห็นเหตุการณ์อันโหดร้ายและอยู่ใน
ประจักษ์พยานเรียกได้ว่าหลายเหตุการณ์มาก ในขณะนั้นมีคนถูก
จับเป็นเชลยและอยู่ในแคมป์นี้โดยประมาณมากถึง 125,000 คน
เลยทีเดียว โดยประมาณ 40,000 คน เสียชีวิตในค่ายกักกันแห่งนี้
ภายหลังที่สงครามสงบลงในปี ค.ศ.1945 คุณ Stefan ทำงาน
ให้กับกองทัพสหรัฐฯ ทำหน้าประสานการปลดปล่อยนักโทษที่อยู่ใน
ค่ายกักกันแห่งอื่น ๆ ทั่วทั้งยุโรป สุดท้ายประมาณปี ค.ศ.1946 -
1947 คุณ Stefan กับภรรยากับลูก ๆ อีกสามคนได้อพยพ
ครอบครัวมาตั้งถิ่นฐานที่เมืองแมนิโทบา วินิเพ็ค ประเทศแคนนาดา
ตลอดระยะเวลา20 ปีท่านทำงานเกี่ยวอุตสาหกรรมเครื่องจักรและ
อุตสาหกรรมซีเมนต์ ชีวิตท่านและครอบครัวทุกอย่างปกติราบรื่นดี
อุปนิสัยส่วนตัวท่านเป็นคนชอบธรรมชาติ ชอบการค้นหาแร่ธาตุที่มี
ค่ามีราคา เช่นโลหะเงิน โลหะทองคำ ฯลฯ ก็ทุกครั้งที่มีเวลาว่าง
คุณ Stefan ก็มักจะเข้าป่า ขึ้นภูเขา เข้าถ้ำ หรือป่าเขาธรรมชาติ
ซึ่งก็มีอยู่มากมายในพื้นที่ของประเทศแคนนาดาเพื่อเสาะหาแร่ธาตุ
หายากเหล่านี้ ซึ่งเผื่อว่าวันใดฟลุคเจอเป็นจำนวนมาก วันนั้นชีวิตก็
จะสบายขึ้น
จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่งก็คือวันที่คุณ Stefan ตัดสินใจที่จะออก
เดินทางไปยังสถานที่แห่งหนึ่งเรียกว่า Falcon Lake
เจตนาก็เพื่อไปขุดค้นสมบัติที่อาจจะมีในบริเวณนั้น ทะเลสาปแห่ง
นี้ก็มีพื้นที่มากพอประมาณ ห่างจากเมืองวินิเพ็คไปทางตะวันออก
ประมาณ 100 ไมล์ รอบ ๆ ทะเลสาปแห่งนี้ก็จะเป็นแนวป่าใหญ่ ซึ่ง
คุณ Stefan ได้ยินข่าวแว่ว ๆ มาว่าบริเวณในแนวป่าใหญ่แห่งนี้ละที่
เป็นที่ซุกซ่อนของโลหะเงินจำนวนมาก ถ้าเจอโลหะเงินท่านก็จะรวย
ถ้าขุดเจอบ่อโลหะทองคำท่านก็จะยิ่งรวย หรือถ้าท่านขุดเจอขุม
เพชรท่านก็กลายเป็นคนที่โครตรวย
"จงรวย จงรวย จงรวย"
วันที่ 19 พฤษภาคม 1967
คุณ Stefan ตัดสินใจเก็บกระเป๋าและเตรียมสัมภารที่จำเป็นต่อการ
เดินทาง และการขุดค้น ไปยังสถานที่แห่งนี้ ก่อนไปก็ได้บอกลาลูก
และภรรยาด้วย ก็ไปคนเดียวอาศัยการโดยสารรถประจำทางไป
ประมาณสองชั่วโมงผ่านไป รถบัสมาถึงยังสถานที่ที่จะต้องลง ซึ่งก็
ใกล้กันกับทะเลสาปแห่งนี้และราวป่ามาก คุณ Stefan เข้าไปพักใน
โรงแรมราคาประหยัด จัดการเก็บสัมภาระ รับประทานอาหาร และ
พักผ่อนหลับนอนเพื่อเริ่มงานขุดค้นในวันรุ่งขึ้น เช้าวันที่ 20 พ.ค.
คุณ Stefan ตื่นนอนแต่เช้าตรู่ตั้งแต่ตี 5 ออกเดินทางไปยังสถานที่
ที่จะขุดค้น ก็เดินข้ามถนนของโรงแรมก็จะถึงราวแนวป่าแล้ว และถ้า
เดินลึกเข้าไปก็จะไปถึงทะเลสาป Falcon Lake
คุณ Stefan นำเข็มทิศติดตัวไปด้วยก็เดินคดเคี้ยวเข้าไปใน
ป่านานพอประมาณ ประมาณ 9.00 น. คุณ Stefan พิจารณาแล้วว่า
จุดนี้จะเป็นจุดที่จะลงมือขุดค้น จุดนี้เป็นพื้นที่สูงพอประมาณ คือจะ
สามารถมองลงไปแล้วเห็นทะเลสาป Falcon Lake ได้อย่างชัดเจน
จุดที่ยืนอยู่และตั้งใจว่าจะขุด ไม่มีต้นไม้ขึ้นเลย ซึ่งนั่นก็พอจะเข้าใจ
ได้ว่าข้างใต้ดินน่าจะมีอะไรบางอย่างที่ไม่เหมาะต่อการเจริญเติบโต
ของต้นไม้ ซึ่งนั่นอาจจะเป็นโลหะบางอย่างซึ่งอาจจะเป็นโลหะมีค่ามี
ราคาก็เป็นไปได้
คุณ Stefan จัดการแต่งตัวเตรียมพร้อม เขานำแว่นหน้ากาก
ช่างเชื่อมไปด้วยเพื่อใช้ใส่ตอนขุดค้น แว่นหน้ากากช่างเชื่อม เป็น
อุปกรณ์ราคาไม่แพง แต่ว่ามีคุณสมบัติที่ดีคือมีความแข็งแรง
ทนทานมากทั้งยังสามารถกันแดดกันลม กันแมลงกันเศษหินที่อาจ
จะกระเด็นเข้าตาได้ และใส่ถุงมือช่างเชื่อมซึ่งก็ได้นำติดตัวไปด้วย
คุณ Stefan เริ่มลงมือขุด และก็ขุดไปเรื่อย ๆ อย่างนี้อยู่นาน
หลายชั่วโมงเหมือนกัน แต่ว่าไม่เจอสมบัติหรืออะไรเลยที่มีค่า เวลา
โดยประมาณ 11.00 น. คุณ Stefan ซึ่งขุดมาหลายชั่วโมงแล้วเริ่ม
จะท้องหิว จึงวางสิ่งของที่ขุดค้นลงและเริ่มลงมือรับประทานอาหาร
โดยหันหน้าไปทางทะเลสาป Falcon Lake ก็คือว่าในทะเลสาปแห่ง
นี้จะมีสัตว์ท้องถิ่นชนิดหนึ่งอาศัยอยู่ และมีเป็นจำนวนมากพอควร
นั่นคือ ห่านป่า เป็นสัตว์ท้องถิ่นของ Falcon Lake นั่นเอง
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ คุณ Stefan ก็ลงมือขุดต่อจน
เวลาโดยประมาณ 12.15 น. ขณะที่คุณ Stefan กำลังขุดอยู่ก็ได้
ยินเสียงห่านป่าส่งเสียงร้องและบินแตกตื่น คือบินแตกฝูงไปคนละ
ทิศคนละทาง คุณ Stefan ถอดแว่นออกเพื่อมองให้ชัดว่ามันเกิด
อะไรขึ้น เพราะว่าปกติแล้วห่านป่าจะเป็นสัตว์สังคม ไม่ว่ามันจะบิน
ออกหากินหรือบินกลับรัง ก็มักจะไปด้วยกันไปพร้อม ๆ กันใน
ทิศทางเดียวกัน ไม่บินไปคนละทิศคนละทาง บนท้องฟ้าตอนนี้มีวัตถุ
บางอย่างจะเป็นอะไรก็ไม่ทราบได้ เป็นสีส้ม มาด้วยกันสองลำ คุณ
Stefan เล่าว่าตอนแรกที่เห็นมันดูคล้ายกับจะเป็นรูปทรงซิการ์แต่
มองจากระยะที่ไกลเลยไม่แน่ใจนัก คุณ Stefan จ้องมองวัตถุทั้ง
สองนั้นอย่างสงสัย วัตถุทั้งสองเริ่มบินต่ำลงเรื่อย ๆ และมุ่งหน้ามายัง
จุดที่คุณ Stefan ยืนอยู่ ซึ่งก็น่าจะเป็นวัตถุทั้งสองนี่ละที่ทำให้ห่าน
ป่าทั้งฝูงเกิดการตื่นตกใจอย่างสุดขีด ถึงขั้นบินแตกกระเจิงไปคนละ
ทาง
วัตถุสีส้มทั้งสองนี้จากการคะเนด้วยสายตา น่าจะกว้างประมาณ
9 - 12 เมตร บินได้เงียบมากไม่มีเสียงใด ๆ ออกมาเลยและก็ไม่มี
ควันหรืออะไรที่จะปล่อยออกมาจากเครื่อง ก็คือดูเหมือนกับว่าจะ
ไม่มีท่อไอเสียด้วย ตอนที่วัตถุทั้งสองบินเข้ามาใกล้คุณ Stefan
เรื่อ ยๆ มันเริ่มจะลดความเร็วลง คุณ Stefan ให้การว่าตอนนั้นไม่รู้
สึกกลัวอะไรเลย จะสงสัยเสียมากกว่าว่าคืออะไร เข้าใจว่าจะเป็น
ยานพาหนะของทหารที่บินลาดตระเวนมาบริเวณนั้นและเมื่อเห็นคน
เข้าและเป็นที่ว่างก็จะบินลงมาจอด ก็คือว่าในบริเวณ Falcon Lake
นี้จัดเป็นพื้นที่ห่างไกลครับ มีคนน้อยมาก แม้แต่ตอนขุดค้นสมบัติก็
ไม่มีคนในบริเวณนี้เลย(นักขุดค้นสมบัติไม่ชอบที่ที่มีคนมากอยู่แล้ว
ครับ มันทำให้ทำงานยากและคำถามมาก)
ตอนที่วัตถุนี้เคลื่อนเข้ามาใกล้ประมาณสัก 200 ฟุตห่างจากที่
คุณ Stefan ยืนอยู่ วัตถุทั้งสองนี้หยุดเคลื่อนที่โดยฉับพลัน คือลอย
นิ่ง ๆ อยู่ในอากาศ สักพักหนึ่ง หนึ่งในวัตถุประหลาดนี้บินขึ้นไปตรง
ๆ บนท้องฟ้าและบินหายลับไป ส่วนวัตถุประหลาดอีกลำบินต่ำลงมา
อย่างช้า ๆ ลงมาจอดในบริเวณที่คุณ Stefan ยืนอยู่ ก็ห่างไปไม่
มากนัก คุณ Stefan ก็ยังไม่สงสัยคิดว่าคงจะเป็นยานพาหนะของ
ทหารที่มาฝึกปฎิบัติการในพื้นที่บริเวณนั้นแล้วเกิดความขัดข้องของ
เครื่องยนต์ ตัดสินใจลงจอดเพื่อเหตุผลด้านความปลอดภัย
ภายหลังการลงจอดของวัตถุประหลาดลำนี้ แสงที่มองเห็นเป็น
สีส้มเมื่อตอนที่อยู่บนท้องฟ้า บัดนี้แสงสีส้มหายไปแล้ว ที่เห็นจะเป็น
วัตถุที่มีสีเป็นโลหะแสตนเลส มีแสงสีม่วง ๆ ออกมาจากยานพาหนะ
ประหลาดลำนี้ แสงนั้นสว่างมาก ๆ เลย แสงออกมาตามรูตามจุดที่
อยู่ด้านนอกยาน แต่ยังไม่สามารถมองเห็นข้างในยานพาหนะลำนี้
ได้ว่ามีลักษณะเป็นเช่นไร
บนลำยานพาหนะประหลาดนี้ ไม่มีตัวอักษรใด ๆ ที่จะบ่งบอกถึง
หน่วยงานของกองทัพอากาศเลย มันเป็นผิวแสตนเลสเรียบ ๆ ที่ไม่มี
รอยต่อ ไม่มีตะปู ไม่มีการยึด ดูเป็นผิวเดียวไปเลยทั้งลำเรียกกันว่า
มันไร้ที่ติ(Flawless) เลยก็ว่าได้ ด้านล่างนี้เป็นภาพสเก็ตที่คุณ
Stefan วาดไว้ คุณ Stefan เป็นนักวาดภาพที่มีฝีมือคนหนึ่งและก็
มักจะนำสมุด ปากกา ดินสอ พกติดตัวไปด้วยทุกที่
บุคคลแรก ๆ เลยที่คุณ Stefan เล่าเรื่องที่เจอนี้ให้ฟังก็คือลูกชาย
ของคุณ Stefan เอง ชื่อคุณ Stan ซึ่งตอนนั้นอายุเพียงแค่ 10 ขวบ
วัตถุประหลาดลำนี้จอดอยู่นานพอประมาณ สุดท้ายประตูของ
มันถูกเปิดออก มีแสงประหลาดสว่างจ้าปรากฎให้เห็น และก็มีเสียง
แปลก ๆ ดังออกมาจากด้านใน
คุณ Stefan พื้นเพเป็นคนโปแลนด์ ซึ่งเคยถูกเยอรมันจับกุม และ
ย้ายมาอยู่ยังประเทศแคนนาดา ดังนั้นจึงสามารถพูดได้หลายภาษา
เลยทีเดียว ตอนแรกก็ทักไปด้วยภาษาอังกฤษก่อนว่าคุณมีอะไรพอ
จะให้ผมช่วยได้ไหม คุณมีปัญหาอะไรกับเครื่องยนต์ไหม แต่ไม่มี
เสียงตอบกลับ จึงทักไปอีกด้วยภาษาโปแลนด์ ก็ยังไม่มีเสียงตอบ
กลับ ทักกลับไปอีกด้วยภาษาเยอรมัน ก็ยังไม่มีเสียงตอบกลับ ทัก
กลับไปอีกด้วยภาษารัสเซีย ก็เช่นเดิมไม่มีการโต้ตอบใด ๆ กลับมา
ผ่านไปนานพอประมาณประตูของยานพาหนะประหลาดนี้เปิด
ออก ตามคำให้การลักษณะการเปิดเป็นการเปิดแบบด้านข้าง(Slide
Door) แสงลอดออกมาจากประตูดูแล้วสว่างมาก ทางคุณ Stefan
เดินเข้าไปใกล้ขึ้นเพื่อดูด้านในของประตูที่เปิดออกมา เมื่อเดิน
เข้าไปดูใกล้ ๆ แล้ว มันสว่างมาก สว่างเสียจนต้องใส่แว่นเชื่อมเพื่อ
มองให้ชัดขึ้น และภาพที่เห็นด้านในมันก็แปลกมากเช่นกัน ไม่
สามารถจะอธิบายได้ว่าคืออะไร ก็สักพักหนึ่งประตูนี้ก็ปิดลงอีกครั้ง
คุณ Stefan ตอนนั้นใส่ถุงมือช่างเชื่อมอยู่ ยื่นมือไปทดลองจับกับ
ลำตัวภายนอกของยานพาหนะประหลาดลำนี้
และด้านล่างคือภาพจริงถุงมือของคุณ Stefanที่ไปจับกับลำตัว
ยานพาหนะประหลาดลำนี้ คือมันถึงกับทะลุถุงมือเข้าไปเลย คล้าย
กับว่านำถุงมือไปจับกับวัตถุอะไรบางอย่างที่ร้อนจัด ทั้งที่วัตถุที่มอง
เห็นเป็นเหมือนกับวัสดุแสตนเลสธรรมดา คุณ Stefan รีบชักมือ
กลับอย่างเร่งด่วนและถอดถุงมือออกอย่างเร่งด่วน
ก็จากนั้น ยานพาหนะประหลาดลำนี้เริ่มเคลื่อนที่ในทิศตามเข็ม
นาฬิกา จนกระทั่งหยุดเหมือนเดิม เพียงแต่ที่แปลกก็คือจุดที่มาหยุด
ตอนนี้ไม่ใช่จุดเดิมแล้ว แต่มันมีลักษณะเหมือนตะแกรงหรืออะไรก็
ไม่ทราบได้ ดูคล้าย ๆ ตะแกรงหรือไม่ก็ช่องระบายอากาศ คุณ
Stefan ได้วาดภาพจริงให้ดู(ตามภาพด้านล่าง)
แล้วสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ก็เกิดขึ้น คือช่องตะแกรงประหลาดนี้ มัน
พ่นควันหรือสารเคมีอะไรก็ไม่ทราบได้ เพราะว่าดูไม่ทัน สิ่งที่พ่น
ออกมานี้ปะทะเข้ากับส่วนของหน้าอกและส่วนท้องของคุณ Stefan
อย่างจัง ถึงกับทำให้เกิดไฟลุกท่วมเสื้อในทันที
คุณ Stefan ถอดเสื้อออกแล้วตบไฟให้ดับอย่างเร็วที่สุด ภาพด้าน
ล่างเป็นภาพจริงเสื้อคุณ Stefan ที่โดนไฟไหม้จากอะไรก็ไม่ทราบ
ได้ในวันนั้น จะสังเกตุได้ว่าที่เสื้อของคุณ Stefan มันมีรอยไหม้ที่
เป็นจุด ๆ ด้วย บ่งบอกว่าตอนที่เกิดเหตุการณ์ลำแสงประหลาดนี้วิ่ง
ผ่านเสื้อคุณ Stefan และทะลุเข้าไปด้านในเสื้อตรงบริเวณเนื้อ
หน้าอก ลำตัวและท้องของคุณ Stefan เสื้อตัวนี้เป็นเสื้อจริงที่ใส่ใน
วันที่เกิดเหตุการณ์
วัตถุประหลาดตอนนี้บินขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างเร็วและบินหายลับไป
คุณ Stefan เล่าว่าตอนนี้เกิดอาการทางร่างกายขึ้นแล้ว นั่นคือ ปวด
หัว มึนงง อาเจียน รีบวิ่งกลับไปเก็บสัมภาระที่กองไว้อย่างเร็ว และ
ออกจากป่าแห่งนี้อย่างเร่งรีบที่สุดเพื่อกลับไปยังโรงแรม ก็จาก
ปากคำมันใช้เวลานานหลายชั่วโมงทีเดียว ตลอดทางก็อาเจียน
มึนงง เดินโซเซ กว่าที่จะออกมาจากแนวป่านี้ได้ ประมาณ 16.00 น.
คุณ Stefan เดินทางออกมาได้ถึงโรงแรมที่พัก ถามเจ้าหน้าที่ของ
โรงแรมถึงโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด เจ้าหน้าที่ของโรงแรมเข้าใจว่า
ชายผู้นี้น่าจะเมาหล้า เสื้อก็ไม่ใส่ แต่แปลกที่ไม่มีกลิ่นเหล้าออกมา
แต่เนื้อตัวกลับจะมีกลิ่นกำมะถันไหม้ไฟ
โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างออกไปมากพอควรเลยคือไกล
ถึง 45 ไมล์ คุณ Stefan ตัดสินใจกลับบ้าน ก็ขึ้นรถโดยสารและเดิน
ทางกลับ ที่ป้ายรถเมล์เขาเจอกับลูกชายคนโตเขาโดยบังเอิญก็เลย
ได้รับการช่วยเหลือ นำส่งโรงพยาบาลที่เมืองวินิเพ็ค และภาพด้าน
ล่างนี้คือภาพของคุณ Stefan ในวันนั้นตอนที่อยู่โรงพยาบาลและ
บาดแผลที่พบ
บาดแผลมีลักษณะเป็นรอยไหม้ ซึ่งตรงกับคำให้การที่คุณ
Stefan ให้ไว้ การวินิจฉัยออกมาว่าเป็นการไหม้แบบ Chemical
Burn(การไหม้ที่เกิดจากปฎิกิริยาเคมี หรือสัมผัสกับสารเคมี) ไม่ใช่
การไหม้แบบปกติที่คนทั่ว ๆ ไปโดน แบบนั้นจะเรียก Thermal
Burn(คือไหม้เพราะสัมผัสกับความร้อนสูง) เพียงแต่ไม่มีแพทย์คน
ใดสรุปได้ว่า สารเคมีอะไรชนิดใดที่ทำให้เกิดรอยไหม้ในลักษณะนี้
ได้ คุณ Stefan ได้รับการตรวจร่างกายอีกหลายอย่าง ทั้งตรวจสาร
กัมมันตภาพรังสี ทุกอย่างดูเหมือนจะมีผลเป็นลบ ภาพด้านล่างนี้
เป็นภาพสถานที่จริงที่ภายหลังมีผู้เชี่ยวชาญเข้าไปตรวจสอบ
มีร่องรอยการไหม้บนพื้นจริง ๆ จากการตรวจสอบ เป็นรอย
วงกลม จึงพอจะสันนิฐานว่าวัตถุที่ครั้งหนึ่งเคยลงจอดตรงนี้น่าจะ
เป็นวัตถุที่มีฐานเป็นวงกลม จากการตรวจสอบแล้วบริเวณนี้และโดย
รอบเครื่องตรวจจับกัมมันตภาพรังสีสามารถตรวจจับสาร
กัมมันตภาพรังสีได้ และยังตรวจพบวัสดุแปลก ๆ คือโลหะเงินที่มีไอ
โซปหายากในบริเวณที่ยานพาหนะประหลาดลงจอด โลหะเงินที่เจอ
นี้ไม่ใช่แร่เงิน แต่เป็นอะไรก็ไม่ทราบได้ที่ถูกผลิตหรือประดิษฐ์ขึ้น
คือไม่ใช่โลหะเงินตามธรรมชาติ
เรื่องของคุณ Stefan ที่ให้การออกมา เป็นที่สนใจกับทั้งรัฐบาล
แคนนาดาและรัฐบาลสหรัฐ ฯ เป็นอย่างมาก มีการตรวจสอบอย่าง
ละเอียดอีกหลายคน จนสุดท้ายคือไม่สามารถหาข้อสรุปได้ และไม่
สามารถหักล้างคำให้การของคุณ Stefan ได้ว่า ทั้งหมดทั้งปวงที่
คุณ Stefan ให้การมาเป็นเรื่องเท็จหรือเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง
ปัจจุบัน คุณ Stefan ไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว ท่านเสียชีวิตไปใน
ปี ค.ศ.1999 อายุในขณะนั้น 83 ปี ตลอดเวลาหลายปีหลังจากที่
ท่านประสบเหตุการณ์นี้ตั้งแต่อายุ 50 ปี มาจนถึงบั้นปลายชีวิต คุณ
Stefan ไม่เคยได้เงินหรือได้อะไรจากเรื่อง ๆ นี้เลย และท่านก็ไม่
เคยบอกด้วยว่าสิ่งที่เห็นเป็นวัตถุบินได้ที่มาจากนอกโลก ท่านเพียง
สงสัยว่าวัตถุที่เห็นและทำให้ท่านต้องเป็นในเช่นวันนั้นคืออะไรกัน
แน่ ไม่เพียงแค่นั้น เมื่อใดที่มีคนมาพบเห็นท่าน ท่านก็จำเป็นต้องเล่า
เรื่องเดิม ๆ ซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้น บางครั้งมีผู้คนมาที่บ้านท่านมาก ๆ ก็
ต้องเสียเงิน เลี้ยงขนมเลี้ยงน้ำหวานหรือถ้าหากมาจากที่ไกล ๆ หรือ
เป็นบุคคลที่มีชื่อมีเสียงมาเยี่ยม ก็อาจจะต้องต้อนรับอย่างดีเลี้ยง
อาหาร หลังจากที่ได้ข้อมูลจากท่านไปแล้วก็จากท่านไป บางวันแทบ
จะไม่ต้องทำงานประกอบอาชีพ ลงท้ายคุณ Stefan และครอบครัว
ถึงกับสละเงินส่วนตัวมากมายไปทำหนังสือ ทำแผ่นพับเล่าเรื่องให้
ละเอียดและแจกให้กับผู้ที่สนใจเรื่อง ๆ นี้ และตรงนี้ก็อีกหนึ่งในบท
เรียนที่ได้เรียนมาจากอดีตจากผู้ที่มีประสบการณ์แล้วออกมาเปิด
เผยตน บางท่านที่มีประสบการณ์ในเรื่องยูเอฟโอ(ในปัจจุบัน) เลือก
ที่จะไม่ค่อยอยากจะเปิดเผยตัวเองต่อสาธารณชนมากนัก ก็จะเป็น
ด้วยหนึ่งในเหตุผลนี้
ภาพยนต์เรื่องเดิมถูกฉายซ้ำ ๆ กันทุกวัน วันละหลายรอบเป็นเวลา
หลายปี มันท่าจะไม่ไหวจริง กับการตอบคำถาม เมื่อใดที่มีคนมา
หาท่านที่บ้าน หรือเจอท่านโดยบังเอิญ ท่านก็บอกให้ไปเอาแผ่นพับ
ไปอ่านได้เลยครับ และด้านล่างนี้คือหนังสือแผ่นพับที่ท่านทำขึ้นเพื่อ
แจก
Lucknow UFO Incident
มีเหตุการณ์เหตุการณ์หนึ่งซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่แปลก
เหตุการณ์นี้มีผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวนพอสมควร เป็นข่าวอยู่ใน
หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น ไปถึงหนังสือพิมพ์ระดับประเทศรวมไปถึง
วารสารจากต่างประเทศ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในเขตแดนของ
สาธารณรัฐอินเดีย เป็นพื้นที่ชนบทแห่งหนึ่งใกล้กับเมืองที่ชื่อว่า
Lucknow รัฐอุตรประเทศ
ก็คือหนังสือพิมพ์ที่ได้นำข่าวนี้มาลง ชื่อหนังสือพิมพ์ Victoria
Advocate เป็นหนังสือพิมพ์ฉบับวันอังคารที่ 13 เดือนสิงหาคม
ค.ศ.2002 ในส่วนของเนื้อข่าวก็คือ ยูเอฟโอโจมตีคนในพื้นที่ ทำให้
เกิดความไม่สงบขึ้น(UFOs are attacking and causing unrest
in India)
ในข่าวเป็นใบหน้าของชายหนุ่มผู้หนึ่งที่ดูเหมือนจะมีผ้าพันแผล
ปิดอยู่หลายจุดบนใบหน้า ชายผู้นี้อายุเพิ่งจะ 18 ปี ชื่อคุณ Brijesh
Nishaad หนุ่มน้อยผู้นี้กล่าวว่าที่ใบหน้าของเขาต้องมาเป็นเช่นนี้ก็
เพราะยูเอฟโอเหตุการณ์นี้ถึงกับทำให้ชาวบ้านในพื้นที่เสียชีวิตไป
อย่างน้อย 7 คนภายหลังจากเหตุการณ์นี้ประมาณ 1 สัปดาห์
เหตุการณ์นี้ถูกออกอากาศและสัมภาษณ์ออกทางวิทยุด้วย
เรื่องก็มีอยู่ว่า ประมาณปลายเดือนกรกฎาคม ค.ศ.2002 มีชาว
บ้านในพื้นที่หลายคนพบเห็นวัตถุประหลาดบินได้หลายลำ บินอยู่บน
ท้องฟ้าในพื้นที่แห่งนี้ ก็คือวัตถุประหลาดบินได้ที่พบเห็นนี้จำแนกได้
เป็นสองประเภท คือชนิดแรกมีรูปทรงที่คนทั่ว ๆ ไปเรียกว่าจานบิน
ก็คือรูปร่างเหมือนจานรองถ้วยกาแฟนำมาประกบกัน วัตถุชนิดแรก
นี้ส่งแสงหรือปล่อยแสงออกมาได้ แสงที่ปล่อยออกมาจากวัตถุนี้มี
หลากหลายสีทีเดียวและจุดเด่นที่สังเกตุเห็นได้อย่างชัดเจนก็คือ
วัตถุชนิดแรกนี้เคลื่อนที่ได้เร็วมาก ปราดเปรียวมีความเร็วและ
สามารถเปลี่ยนทิศทางได้เร็วอย่างน่าทึ่ง
ส่วนวัตถุบินได้อีกชนิดหนึ่งที่เห็น ตามคำบอกเล่า รูปร่างของมันดู
คล้ายแมลง ดูคล้ายจิ้งหรีด เพียงแต่ว่ามันมีขนาดที่ใหญ่มากใหญ่
กว่าวัตถุบินได้ชนิดแรกหลายเท่าตัว คือ ทำให้ชาวบ้านที่อยู่ห่าง
ออกไปถึงสิบกิโลเมตรมองเห็นวัตถุนี้ได้อย่างชัดเจนเลย วัตถุบินได้
ชนิดที่สองนี้เคลื่อนที่ช้า ไม่ปราดเปรียวเหมือนชนิดแรก
ซึ่งภายหลังทางนักวิเคราะห์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องยูเอฟโอ ตั้ง
สมมติฐานกันว่า วัตถุบินได้ชนิดที่สองที่มีขนาดใหญ่นี้ อาจจะเป็น
ยานแม่ของวัตถุบินได้ชนิดแรกก็เป็นไปได้ คือวัตถุบินได้ชนิดแรก
ถูกส่งออกมาจากวัตถุบินได้ขนาดที่ใหญ่กว่า ก็คือตอนสักสามถึงห้า
วันแรก ๆ ที่ชาวบ้านพบเห็น วัตถุทั้งสองก็ยังปกติอยู่ เคลื่อนที่ใน
บริเวณอย่างปกติไม่มีทีท่าใด ๆ ที่จะเป็นศัตรูหรือจะทำอันตรายใด ๆ
แต่เหตุการณ์ก็มิได้เป็นอย่างนั้นตลอด เพราะว่าภายหลังสัก
อาทิตย์ยูเอฟโอที่พบเห็นมาร่วมอาทิตย์ เริ่มมีทีท่าที่ไม่เป็นมิตร คือ
เริ่มต้นทำร้ายชาวบ้านในพื้นที่ รุนแรงขนาดที่มีชาวบ้านในพื้นที่เสีย
ชีวิตไปมากกว่า 7 คน สาเหตุที่เสียชีวิตเป็นบาดแผลที่คล้ายกับ
บาดแผลไฟไหม้(ตามข่าวหน้าหนังสือพิมพ์) ส่วนที่ไม่ถึงขั้นเสีย
ชีวิตก็เสียชีวิตจากอาการบาดเจ็บ จากแผลที่ดูคล้ายถูกไฟไหม้
ก็คือว่ายูเอฟโอที่ได้ทำร้ายคนจนถึงกับเสียชีวิตและได้รับ
บาดเจ็บลำนี้ ภายหลังถูกตั้งชื่อว่า "Moohnochwa" ความหมายถึง
สิ่งที่ทำให้หน้าไหม้ "Face Burner" แพทย์ที่ให้การรักษาและ
ชันสูตร ให้ข้อมูลว่า บาดแผลที่พบจะดูคล้ายกับบาดแผลไฟไหม้ที่
เกิดจากกระแสไฟฟ้าปริมาณมาก หรือกระแสไฟฟ้าแรงสูงผ่านลำ
ตัวผู้ประสบเหตุ ตามในข่าวมีชายคนหนึ่งชื่อ คุณRamji Pal เสีย
ชีวิตคือถึงกับหน้าท้องเปิด เขาทนพิษบาดแผลได้แค่สองวัน ก็มี
หญิงอีกท่านอายุ 53 ปี ก็ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีของยูเอฟโอนี้
เช่นเดียวกัน มีรอยไหม้เกิดขึ้นที่บริเวณแขน
และที่มันน่าเป็นห่วงกว่านั้นก็คือ ในระยะเวลาที่พบเห็นยูเอฟโอ
อาทิตย์เศษ ๆ มีชาวบ้านในพื้นที่หายไปอย่างไร้ร่องรอยร่วม ๆ 20
คนในระยะ 10 ไมล์
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทำเอาชาวบ้านในพื้นที่ไปรวมตัวชุมนุม
กันหน้าสถานีตำรวจ ก็แน่นอนครับทางตำรวจและเจ้าหน้าที่รัฐบาลก็
คงไม่ยอมรับอยู่แล้วว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีตัวตน ก็ทำการสลายฝูง
ชนที่มาชุมนุมให้กลับบ้านเหมือนเดิม ฝูงชนที่มารวมตัวกันนี้ตาม
ข่าวว่ามีมากเป็นหมื่นคนเลยเรียกร้องให้สอบสวนและจับกุมยูเอฟโอ
ที่กระทำความผิดนี้ การสลายฝูงชนครั้งนี้ทำให้มีคนในที่ชุมนุมถึง
เสียกับชีวิต
ก็คือมีการบันทึกถ่ายภาพยูเอฟโอที่ก่อเรื่องนี้ได้เช่นกัน โดยคน
ที่ถ่ายภาพนี้ได้เป็นถึงผู้พิพากษาท้องถิ่นชื่อ Amrit Abhijat เพราะ
ฉะนั้นความน่าเชื่อถือก็มีพอควร เพียงแต่ภาพทั้งหมด วีดีโอคลิป
ทั้งหมด ที่ชาวบ้านหรือคนที่ผ่านไปมาบันทึกไว้ได้ ภายหลังหากนำ
มาแสดงหรือเผยแพร่ในที่สาธารณะแล้ว ทางรัฐบาลสาธารณรัฐ
อินเดียก็ทำการยึดหมด ยึดเกลี้ยง ท่านไม่เชื่อว่ายูเอฟโอมีตัวตนแต่
ท่านก็ขอยึดไปก่อนแล้วกัน
มีกล้องอีกห้าตัวด้วยกันของบุคคลอื่นที่ไม่รู้จักกัน สามารถบันทึก
ภาพยูเอฟโอที่กล่าวถึงนี้ไว้ได้ สิ่งสุดท้ายที่ชาวบ้านทำกันได้ก็คือจัด
เวรยามเพื่อเฝ้ารักษาความปลอดภัยกันเอง โดยเฉพาะในยามค่ำคืน
ทั้งนี้เพราะว่าเหตุการณ์การโจมตีที่เกิดขึ้น ก็จะเกิดในยามค่ำคืน
นั่นเอง ลักษณะการโจมตีคือมันส่องแสงหรือปล่อยแสงบางอย่างลง
มา ซึ่งแสงนี้ถ้าถูกลำตัวหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายก็จะทำให้
เกิดการบาดเจ็บ หรือถ้าหากโดนตรง ๆ เป็นเวลานาน ๆ หรือไปโดย
อวัยวะสำคัญของร่างกายก็จะทำให้เสียชีวิตได้
จากการสืบค้นหลาย ๆ กรณีพบว่าคล้ายกับเจ้าหน้าที่รัฐบาล
สาธารณรัฐอินเดียอาจจะไม่มีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องนี้ หรือไม่
ต้องการให้ผู้คนแตกตื่น หรือเชื่อแต่ขอศึกษาเอง ตรงนี้ผมก็ไม่
แน่ใจเช่นกันครับ
หลายปีก่อนมีคนนำคลิปวีดีโอมาโพสในยูทูป ผมมองเห็นว่ามัน
แปลกและน่าสนใจก็ลอง ๆ โหลดไว้ดูเล่น คลิปวีดีโอต้นฉบับนี้ทุกวัน
นี้ผมไม่สามารถหาเจอแล้ว สิ่งที่เหลือก็จะเป็นสิ่งที่เคยโหลดไว้ครับ
ก็นานหลายปีเหมือนกัน มันเป็นวัตถุบินได้ที่ดูแล้วรูปร่างคล้าย
จิ้งหรีด ตอนที่ผมโหลดไว้เมื่อหลายปีก่อน ผมเองยังไม่เคยมีข้อมูล
เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ผมดูแล้วเลยตั้งชื่อวัตถุนี้ว่าจิ้งหรีด ก็ลอง ๆ ชมดู
ครับ
Operação Prato, Operation Saucer ปฎิบัติการจานบิน
เรื่องยูเอฟโอที่ทำร้ายมนุษย์ ไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อ แต่เป็นเรื่องจริง
ถึงขนาดที่มีบางประเทศในทวีปอเมริกาใต้ ดำเนินการเปิดปฎิบัติการ
ตรวจสอบอย่างจริงจัง เนื่องจากว่ามีคนในพื้นที่เขตแดนของ
ประเทศนั้นถูกทำร้ายเป็นอย่างมาก ประเทศที่ว่านี้คือประเทศบราซิล
ปฎิบัติการนี้เป็นปฎิบัติการลับ ซึ่งถูกเรียกในภาษาโปรตุกีส
ว่า Operação Prato
เรื่องก็มีอยู่ว่าในราวเดือนตุลาคม, พฤศจิกายน และธันวาคม ปี
ค.ศ.1977 มีรายงานการพบเห็นยูเอฟโอมากอย่างชนิดที่เรียกว่าผิด
ปกติเลยในเขตแดนของรัฐ Para ประเทศบราซิล ซึ่งก็ยืนยันได้โดย
หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น O Liberal และผู้คนชาวบ้านในบริเวณ
เขตแดนดังกล่าวปฎิบัติการลับที่ว่านี้ดำเนินการในปี ค.ศ.1977
และไปสิ้นสุดลงในปีถัดไปคือปี ค.ศ.1978 โดยกองทัพอากาศ
บราซิล จากเหตุการณ์ที่มียูเอฟโอ ไล่ทำร้ายประชาชนคนในพื้นที่
ในเขตชนบทที่เรียกว่า Colares(Colares, Santo Antonio de
Tauca, Mosqueiro and Baia do Sul pondered) รัฐ Para พื้นที่
ที่เกิดเรื่องนี้เป็นพื้นที่เล็ก ๆ เรียกว่าเล็กมากแต่ที่แปลกก็คือเรื่องราว
ต่าง ๆ กับจะเกิดขึ้นมาก ๆ ที่พื้นที่แห่งนี้ กระทั่งปัจจุบันประมาณว่า
ประชาชนในพื้นที่แห่งนี้มีเพียง 12000 คน ซึ่งถ้าเทียบกับในอดีต
พื้นที่นี้คนก็คงจะต้องน้อยกว่านี้อย่างไม่ต้องสงสัย
ชาวบ้านหลายคนในพื้นที่แห่งนี้กล่าวว่า พวกเขาถูกทำร้ายโดย
ยูเอฟโอที่ปล่อยแสงลงมา ทำให้ร่างกายเกิดรอยไหม้ แผลเป็น ซึ่ง
ชาวบ้านก็พากันตั้งชื่อแสงที่ว่านี้ว่า "Chupa Chupa" ถึงขั้นว่าชาว
บ้านต้องตั้งเวรยามเฝ้าระวังในยามดึก โดยเตรียมตั้งแต่การตะโกน
ไปจนถึงการใช้ประทัด ดอกไม้ไฟ เพื่อเตือนภัย ซึ่งผู้บัญชาการใน
ปฎิบัติการนี้จะชื่อ Captain Uyrangê Bolivar Soares Nogueira
deHollanda Lima ซึ่งก็ได้รวบรวมพยานรวมทั้งภาพถ่ายทั้งหมดที่
เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ การพบเห็นยูเอฟโอในบริเวณ
นี้(Visible Level) เรียกว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่ที่ไม่ธรรมดาก็
คือมันมีผลต่อกายภาพ(เรียก Physical Level) ขึ้นมา จับต้องได้
สัมผัสได้ จนยืนยันได้ว่าสิ่งที่เห็นไม่ใช่ภาพลวงตาหรือคิดขึ้นมาเอง
เท่าที่รวบรวมมาจากปากคำของชาวบ้านในพื้นที่ ก็คือจะมีแสง
สว่างส่องลงมาจากท้องฟ้าด้านบน ซึ่งบางทีแสงนี้เหมือนจะจงใจให้
ส่องลงมาให้ถูกคนด้านล่างอย่างจัง ๆ ซึ่งความแย่ก็อยู่ที่ว่า เมื่อใด
ก็ตามที่แสงประหลาดนี้ถูกร่างกายเข้า มันจะทำให้เกิดอาการบาด
เจ็บตั้งแต่น้อยจนถึงรุนแรง หรืออย่างหญิงสาวด้านล่างภาพนี้ แผล
เธอดูคล้ายกับถูกแมลงขนาดใหญ่กัดและดูดเลือดออกไป ซึ่งนี่เป็น
ที่มาของคำว่า "Chupa Chupa" ในภาษาโปรตุกีส แปลว่าดูด
ออก(Sucker) จริง ๆ ก็มีหลายชื่อเรียกเหมือนกันแต่จะไม่แพร่
หลายเหมือนคำนี้ คำอื่น ๆ ที่ชาวบ้านเรียกก็เช่น Vampire Light,
Bugs, The thing
หญิงด้านล่างนี้เป็นเหยื่อคนหนึ่งที่ถูกแสงประหลาดสัมผัสกับ
ร่างกาย จะทำให้เกิดรอยแผลเป็นขึ้น เวียนศีรษะอ่อนล้าและมีอาการ
ของคนเสียโลหิต
วัตถุบินได้ประหลาดที่ตรวจพบในบริเวณนี้ ชาวบ้านในพื้นที่กล่าว
ว่า เป็นวัตถุที่มีแสงสว่างในตัวเอง พบเห็นในหลายลักษณะรูปทรง
และหลายขนาด วัตถุประหลาดบางลำบินอยู่ในระดับที่ต่ำมาก คือบิน
อยู่สูงแค่เหนือยอดไม้เท่านั้นเอง ปล่อยแสงบางอย่างลงมาจากด้าน
บนสู่พื้นด้านล่างที่มีคนอยู่ในบริเวณนั้น ถึงขนาดมีชาวบ้านบางคน
กล่าวว่ามองเห็นสิ่งมีชีวิตที่ควบคุมวัตถุบินประหลาดอยู่ มีขนาด
ร่างกายที่ไม่ใหญ่เลย แสงประหลาดที่ถูกส่งออกมาจากวัตถุบินได้
ประหลาดนี้ผู้ที่ประสบเหตุกล่าวว่ามันเป็นแสงที่มีความเข้มข้นมาก
จนรับรู้ได้ ไม่เหมือนแสงอาทิตย์ที่มีความเข้มข้นน้อยจนแทบจะ
สัมผัสไม่ได้ แสงที่ว่านี้หากโดนร่างกายจะทำให้เกิดบาดแผลหรือ
รอยไหม้ ความรู้สึกเหมือนกับมีวัตถุหนัก ๆ กดทับที่หน้าอก จาก
รายงานของผู้ประสบเหตุคนหนึ่งที่จำเหตุการณ์ตอนโดนแสง
ประหลาดนี้สัมผัสร่างกายได้ กล่าวว่า แสงที่ส่องลงมาเป็นแสงสีขาว
คะเนเส้นรอบวงแล้วน่าจะประมาณ 7 - 8 เซ็นติเมตร เมื่อร่างกาย
สัมผัสเข้ากับแสงนี้มันจะร้อนเหมือนถูกจี้ด้วยบุหรี่ซิการ์เลย ที่แปลก
ก็คือวัตถุประหลาดที่ส่องแสงลงมานี้ มันอยู่ดี ๆ ก็ส่องแสงลงมาที่คน
เลย ไม่ได้มีการกวดไล่ หรือบินตามบินไล่ คือแทบจะทุกคนที่โดน
แสงประหลาดนี้ไม่สามารถหนีได้ทันอย่างแน่นอน เพราะไม่รู้เหมือน
กันว่าแสงมาจากไหน รอยแผลจากที่พบในชาวบ้านละแวกนี้ยืนยัน
ได้โดยคุณหมอ Wellaide Cecim Carvalho กล่าวว่าแผลที่เกิดขึ้น
ที่พบจะอยู่ในส่วนของใบหน้าและลำตัวเป็นส่วนใหญ่ ลักษณะแผล
จะคล้าย ๆ กับถูกรังสีหรือสัมผัสกับรังสีที่มีความเข้มข้นรุนแรง คือ
เริ่มจากอาการบวมแดงก่อนในจุดที่สัมผัส จากนั้นบาดแผลจุดนี้จะ
เปลี่ยนเป็นสีดำคล้ายรอยไหม้ จากนั้นอาการอื่น ๆ จะเริ่มตามมา
อาทิเช่นผมบนศีรษะร่วง อาการเจ็บตอนนี้จะเริ่มลดลงเหลือเพียง
อาการอุ่น ๆ ในจุดที่เป็นบาดแผล บุคคลที่โดนแสงประหลาดนี้มีใน
ทุกเพศทุกวัย ไม่จำเพาะว่าจะเป็นชายหรือหญิง หนุ่มสาวหรือคน
มีอายุ นั่นหมายความว่าเป้าหมายที่ถูกจู่โจม เป็นเป้าหมายที่ไม่ได้
ถูกเลือกหรือจำเพาะไว้ก่อน จนสุดท้ายแล้วพื้นที่บริเวณนี้ก็จะเหลือ
เฉพาะชายหนุ่ม เพราะว่าทั้งเด็กและผู้หญิงต่างอพยพออกนอก
พื้นที่หมด
เรื่องที่ทำการสืบสวนสอบสวนนี้ จัดเป็นเรื่องใหญ่อีกเรื่อง ถึงขั้น
เข้าไปอยู่ใน National archives ของบราซิลเลย ไม่สามารถหาคำ
ตอบที่เป็นเหตุผลได้ ทั้งที่มีพยานบุคคลจาการสอบปากคำ หลักฐาน
ภาพถ่ายมากมาย ท่านดูหลักฐานการสอบสวนได้จากเอกสารด้าน
ล่าง วันที่ 2 กันยายน ค.ศ.1977 เวลา 22.00 น.
ส่วนด้านล่างนี้ก็มาจาการสอบปากคำของพยาน ในวันที่ 16 - 22
ตุลาคม ปีเดียวกัน ก็จะได้ทั้งปากคำและภาพวาดตามคำบอกเล่า
ส่วนด้านล่างนี้ก็มาจาการสอบปากคำของพยาน ในวันที่ 22
พฤศจิกายน ปีเดียวกัน ก็จะได้ทั้งปากคำและภาพวาด
ตามคำบอกเล่า
ก็คือแสงประหลาดนี้จะถูกส่งออกมาจากทางด้านล่างของยูเอฟโอ
สรุปสุดท้ายคือมีคนในพื้นที่โดยประมาณ 400 คนที่ได้รับผลกระทบ
บาดเจ็บหรือเกิดบาดแผลน้อยใหญ่ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้
ก็ความแปลกอีกอย่างคือ ปฎิบัติการนี้ถูกยุติหลังจากที่เริ่มต้นไป
เพียงแค่สี่เดือนเท่านั้น ไม่มีคำอธิบายใด ๆ จากรัฐบาลบราซิล หลัก
ฐานที่รวบรวมกันได้คือรายงานปรากฎการณ์ดังกล่าวความหนา
ประมาณ 2,000 หน้ากระดาษ ภาพวัตถุบินประหลาดที่เกี่ยวข้องกับ
เรื่อง ๆ นี้โดยประมาณ 500 ภาพและวีดีโอความยาวประมาณ 16
ชั่วโมง สุดท้ายคือคำสอบปากคำจากผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ในยุค
สมัยนั้นดูเหมือนว่าบราซิลจะปกครองประเทศในระบบรัฐประหาร
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เจอหรือตรวจพบและเป็นเหตุการณ์เหนือคำ
บรรยายก็คงต้องเก็บไว้เป็นความลับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
"อะไรเสียว ๆ ท่านมักจะขอเอี่ยวด้วย"
ปฎิบัติการนี้ถูกเก็บเป็นความลับมาโดยตลอด ความ
แปลกอีกเรื่องหนึ่งก็คือ ภายหลังที่ปฎิบัติการนี้ยุติลง 20 ปี(ปี
1997) ผู้บัญชาการของปฎิบัติการนี้ คือ Captain Uyrangê
Bolivar Soares Nogueira deHollanda Lima ได้ออกมาเปิดเผย
ถึงปฎิบัติการนี้และสิ่งที่ได้ทำลงไปในปฎิบัติการนี้ว่ามีอะไรบ้างโดย
ไปให้สัมภาษณ์กับคุณ Adelmar J. Gevaerd บรรณาธิการประ
พันธสารรายเดือน UFO Revista Magazine ของบราซิลถึงเรื่อง
ราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น
ค่อนข้างจะละเอียด ท่านก็เล่าออกมาว่าจากการสอบปากคำชาวบ้าน
ที่โดนทำร้าย มีชาวบ้านคนหนึ่งชื่อคุณ Claudomira Paixao of
Baia do Sul คุณ Claudomira ท่านนี้ได้ตื่นขึ้นมากลางดึกในวันที่
18 ตุลาคม ค.ศ.1977 เนื่องจากว่ามีแสงสว่างอยู่นอกหน้าต่างบ้าน
ของท่าน อากาศรอบ ๆ ตัวดูเหมือนจะอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ ตอนแรกแสงที่
เห็นนี้เป็นแสงสีเขียว แสงนี้เหมือนจะลอดเข้ามาในบ้านและสัมผัส
กับร่างกายของคุณ Claudomira แสงนี้เปลี่ยนเป็นสีแดง เมื่อท่าน
มองออกไปข้างนอก มองเห็นมนุษย์ประหลาดรูปร่างลักษณะเหมือน
คนตัวไม่ใหญ่ ใส่ชุดดูคล้ายชุดนักบินในมือมีลักษณะเหมือนถือ
อาวุธอยู่ มนุษย์ประหลาดนี้เล็งอาวุธมายังคุณ Claudomira มีแสง
ประหลาดเกิดขึ้นกระพริบประมาณสามครั้ง แสงประหลาดนี้วิ่งมา
โดนคุณ Claudomira ที่บริเวณทรวงอกจุดเดิมเลยก็ว่าได้ อาการที่
เกิดขึ้นโดยทันทีเลยคือ คล้ายถูกแทงด้วยเข็มขนาดใหญ่ ทำให้ไม่
สามารถจะเคลื่อนที่ได้ หรือแม้แต่จะอ้าปาก
มีอยู่กรณีหนึ่ง ที่เหยื่อรู้ตัวก่อนว่าจะถูกแสงประหลาดนี้ทำร้าย
ได้ ร้องห้ามว่า อย่าทำ อย่าทำ(Don't Shoot, Don't Shoot) เป็น
ชายช่างไม้คนหนึ่งอายุราว 50 - 60 ปี(ในขณะเวลานั้น) ในขณะนั้น
ชายผู้นี้ถืออาวุธปืนยาวอยู่ ได้ร้องเตือนและก็ยิงปืนออกไปยังวัตถุ
ประหลาดนี้ด้วย แต่ก็ช้าไป แสงประหลาดนี้โดนตัวเขาถึงกับล้มทั้ง
ยืน ลักษณะเป็นอัมพาตไปประมาณ 15 วัน โดยเฉพาะในวันสองวัน
แรกขยับร่างกายไม่ได้เลย แต่ได้ยิน ได้กลิ่น มองเห็น
ท่านผู้บัญชาการกล่าวเพิ่มเติมต่อไปว่าในบางเหตุการณ์ว่าตอนที่
เหตุการณ์นี้หนักมาก ๆ ชาวบ้านถึงขั้นต้องห่อหรือพันร่างกายด้วย
ผ้าปูที่นอนก่อนจะออกเดินทางออกมานอกบ้านกันเลยทีเดียว เพื่อ
ป้องกันไม่ให้ร่างถูกแสงประหลาดนี้ทำร้าย ถึงขนาดว่ามีผู้คนที่เป็น
ชาวประมงคนหนึ่งในบริเวณนั้นเห็น
วัตถุประหลาดนี้บินเข้า ๆ ออก ๆ จากอ่าวพื้นน้ำบริเวณนั้น Baia de
Marajo (bay) มีอยู่คร้้งหนึ่งที่ผู้บัญชาการปฎิบัติการนี้นอนหลับอยู่
ในตอนกลางคืน เจ้าหน้าที่ในหน่วยยศจ่าเดินมาปลุกบอกว่ามีชาว
บ้านพบเห็นยูเอฟโอบินลงน้ำอีกแล้วมองเห็นเป็นแสงสีน้ำเงิน
เคลื่อนที่อยู่ใต้น้ำชาวบ้นคนนี้กลัวมากกับสิ่งที่เห็น
จนแทบจะอนุมานได้ว่าพื้นที่แห่งนี้แท้จริงแล้ว มีความเป็นไปได้
มาก ๆ ว่าจะเป็นฐานทัพของยูเอฟโอจากนอกโลกได้ และสุดท้ายผู้
บัญชาการปฎิบัติการนี้ก็ได้เห็นเองกับตาจริง ๆ คือภายหลังจาก
รายงานการพบเห็นจากชาวประมงผ่านไปสองถึงสามสัปดาห์ ท่านผู้
บัญชาการท่านนี้ก็ได้ยกพลพรรคไปซุ่มดูบริเวณที่เห็นยูเอฟโอ
เคลื่อนที่เข้าออกผิวน้ำบริเวณนี้ ก็มองเห็นเป็นแสงสีน้ำเงินตามที่
บอก เคลื่อนที่บินรอบเรือเล็กในบริเวณนั้นครอบคลุมพื้นที่น่าจะ
ประมาณ 300 เมตร จากนั้นก็เคลื่อนที่ลงไปในพื้นน้ำบริเวณนั้น
แปลกมากคือมันไม่มีเสียงดังหรือเสียงอะไรเลย หรือแม้แต่ตอนที่มัน
เคลื่อนที่ลงไปในน้ำก็แทบจะไม่ได้ยินเสียง คล้ายกับมีดโกนที่ใช้
ส่วนคมวิ่งลงน้ำก็ว่าได้
คำให้สัมภาษณ์ที่มากจนเกินกว่าจะรับ ก็ได้ผลตามมาอย่าง
คาดไม่ถึง คือผลภายหลังจากการให้สัมภาษณ์กับ UFO Revista
Magazine ผ่านไปประมาณสามเดือน ผู้บัญชาการคนนี้ก็เสียชีวิต
ลง ด้วยเหตุผลการฆ่าตัวตายอย่างประหลาดที่สุด คือ ลูกสาวท่านที่
พบศพกล่าวว่า ท่านใช้เข็มขัดตัวเองแขวนคอกับราวตากผ้าในบ้าน
ตัวเอง ซึ่งตรงนี้ยิ่งเป็นจุดที่น่าสงสัยเป็นอย่างยิ่ง ผู้บัญชาการท่านนี้
ตลอดเวลา 20 ปีหลังปฎิบัติการจบลง ท่านไม่เคยเปิดเผยหรือให้
สัมภาษณ์อะไรออกมาเลย แต่กลับมาเสียชีวิตลงอย่างปริศนา