ยูเอฟโอทำลายจรวดหัวรบ
ท่านครับ มีคลิปวีดีโออยู่คลิปหนึ่งที่น่าสนใจเช่นกัน จริง ๆ
แล้วคลิปวีดีโอนี้ผ่านมาหลายปีแล้วและผมก็ดูมาหลายครั้งแล้วเช่นกัน
แต่ว่ายังไม่มีจุดเชื่อมโยงว่าสิ่งนี้จะเป็นเรื่องจริง
จนกระทั่งผมเจอคลิปนี้อีกครั้งในยูทูป
ที่ด็อกเตอร์คนเล่าท่านนี้ไปให้สัมภาษณ์ออกอากาศในสถานีโทรทัศน์
ซีเอ็นเอ็น ในช่วง ลาร์รี่คิงไลฟ์
ซึ่งก็คงจะถือได้ว่ามีความน่าเชื่อถือได้ในระดับหนึ่ง
เพราะผมไม่เชื่อว่าสถานีโทรทัศน์แห่งนี้จะยอมให้คนนำเรื่องโคมลอย
มานั่งแถลงข่าวออกอากาศกับรายการของเ่ขาซึ่งเผยแพร่ไปทั่วโลกได้
ผมจึงนำมาลงให้ท่านพิจารณาครับ
คลิปนี้ภาพที่เห็นเป็นภาพ Animation
หรือใช้เทคนิคคอมพิวเตอร์ทำขึ้นมาครับ
ที่ทำขึ้นมาก็เพื่ออธิบายให้เห็นภาพว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นมาอย่างไร
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเหตุการณ์นี้คนเล่า กล่าวว่าเป็นเรื่องจริง
เรื่องมีอยู่ว่าประเทศมหาอำนาจประเทศหนึ่งซึ่งกำลังจะทดสอบขีปนาวุธ
หลอก(Dummy Warhead missile)
ซึ่งได้ดำเนินการส่งขีปนาวุธนี้ที่ฐานทัพอากาศ Vandenberg
ในรัฐแคลิฟอร์เนียร์ ดร.Bob Jacobs ได้ถ่ายทำวีดีโอ
พบว่าขีปนาวุธพิสัยไกลลำนี้ถูกทำลายด้วยวัตถุลึกลับ
ซึ่งบินมาด้วยความเร็วประมาณ 8,000 ไมล์/ชั่วโมง
วัตถุนี้ลักษณะเป็นทรงกลม ๆ ได้ทำการยิงแสงประหลาด ๆ ออกมาสัก
2 - 3 ครั้ง โดยทำลายทั้งทางด้านท้ายและบินมาทำลายด้านหัว
จนทำให้ขีปนาวุธที่ทำการทดสอบนี้ Disable แล้วตกลงสู่พื้นโลก
อยากใ้ห้ท่านดูคลิปนี้จนจบครับ ว่าแม้กระทั่งคนสัมภาษณ์(คุณลาร์ลี่)
ก็ยังต้องเบรก ๆ ตัดเข้าโฆษณา
ไม่ให้ด็อกเตอร์ท่านนี้พูดอะไรมากไปกว่านี้
เพราะมันเป็นความลับขั้นสุดของประเทศเขาเลยก็ว่าได้ครับ
You are not Speak like this again. as far as you concern. This never happended!
ดูภาพชัด ๆ อีกครั้งครับ
โดยประมาณเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในฤดูใบไม้ร่วงปี ค.ศ. 1964
เจ้าหน้าที่ในฐานทัพอากาศขณะนั้น คือ ดร. Robert Jacob
ซึ่งในขณะนั้นยศนายพัน
เป็นบุคคลที่ได้รับหน้าที่ให้บันทึกภาพเคลื่อนไหวของขีปนาวุธที่ถูกปล่อย
ออกจากฐาน
ในยุคสมัยนั้นเทคโนโลยีทางด้านการปล่อยทดสอบขีปนาวุธยังไม่ทันสมัย
เหมือนปัจจุบัน เพราะฉะนั้นเป็นไปได้มาก ๆ
ว่าการทดสอบขีปนาวุธแต่ละครั้ง จะเกิดความผิดพลาดจากการทดสอบ
เช่นขีปนาวุธทดสอบที่ถูกปล่อยออกไป ตกหรือหล่น
อันเนื่องจากความผิดพลาดบางประการจากการทดสอบทั้งจาก
เครื่องยนต์ หรือระบบเชื้อเพลิง
หรือฝูงสัตว์ที่บินเข้ามาอย่างบังเอิญในเวลานั้น หรือเนื่องจากสาเหตุอื่น ๆ
ฉะนั้นแล้วการบันทึกภาพ
และภาพเคลื่อนไหวทุกขั้นตอนจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
เพื่อที่จะนำภาพที่บันทึกไว้จากการทดสอบขีปนาวุธทุกครั้งมา
ตรวจสอบอีกครั้ง
โดยจุดที่บันทึกนี้อยู่บนภูเขาที่ห่างไกลแห่งหนึ่งด้วยกล้อง
กำลังขยายกำลังสูง
เจตนาเพื่อจะดูสมรรถภาพประสิทธิภาพของเครื่องยนต์จรวดที่ถูกปล่อย
ออกไปว่าทำงานได้ถูกต้องตรงตามที่วางไว้หรือไม่
จรวดที่บันทึกนี้เป็นจรวดสมมติที่นำหัวรบนิวเคลียร์จำลอง ซึ่งจะมีขนาด
น้ำหนักและรูปร่างเหมือนกันทุกประการกับหัวรบนิวเคลียร์ของจริง
ขึ้นไปในวงโคจร ซึ่งเมื่อถึงระยะความสูงที่จุดหนึ่ง
จรวดนี้จะทำการปล่อยหัวรบนิวเคลียร์(จำลอง) ออกมา
โดยบันทึกทุกระยะการทำงานของจรวดนี้ ดร. Robert Jacob
ท่านมีผู้บังคับบัญชาโดยตรงคือผู้พันที่ชื่อ Florins Mansmann
ซึ่งเป็นนักวิเคราะห์ภาพเช่นกัน
เหตุการณ์ที่ถูกบันทึกนี้สุดท้ายไปจบลงที่ห้องห้องหนึ่งที่มีชาย
ในชุดสูทสีเทาสองคน และผู้พัน Mansmann รอ ดร. Robert Jacob อยู่
ด็อกเตอร์ท่านมารู้ภายหลังว่าบุคคลทั้งสองนี้เป็นเจ้าหน้าของหน่วยข่าว
กรองกลาง CIA ซึ่ง ดร.ท่านรู้สึกได้ว่าเรื่องนี้แปลกมาก ๆ
ภาพเคลื่อนไหวของการบันทึกขีปนาวุธครั้งนี้ถูกเดินเครื่องเปิดขึ้น ผู้พัน
Mansmann ถามด็อกเตอร์ Robert บนฉากก็คือฟิล์มที่ถูกบันทึกขึ้น
Dummy Warhead หรือหัวรบหลอกถูกปล่อยออกมา
ซึ่งความเร็วของหัวรบนี้ประมาณได้ที่หกพันถึงแปดพันไมล์ต่อชั่วโมง
และทันใดนั้นเอง
มีวัตถุบางอย่างตามเข้ามาอยู่ในเฟรมนี้ด้วยความเร็วประมาณเดียวกัน
และสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นก็คือ วัตถุที่ว่านี้
ได้ปล่อยหรือยิงแสงอะไรบางอย่างมายังหัวรบนี้
จากนั้นวัตถุนี้เคลื่อนที่ต่อไปและยิิงแสงออกมาอีก
และทำอย่างนี้อีกสองครั้ง รวมทั้งหมดสี่ครั้งด้วยกัน
และเคลื่อนที่ออกไปจากหัวรบในตำแหน่งเดียวกันกับที่เคลื่อนที่เข้ามา
สุดท้ายหัวรบหมดสภาพร่วงลงมาจากอวกาศ ไฟในห้องถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง
ผู้พัน Mansmann ถามด็อกเตอร์ Robert ขึ้นว่า
ครั้งนี้งานของเราพังอีกตามเคยแล้วใช่ไหม ด็อกเตอร์ Robert
กล่าวขึ้นว่า ไม่หรอกครัับ
ดูเหมือนเราจะมียูเอฟโอเข้ามายุ่งกับหัวรบของเราในครั้งนี้
ผู้พันกล่าวขึ้นอีกว่า ด็อกเตอร์ครับ ต่อจากนี้ไป
ด็อกเตอร์จะต้องไม่ไปพูดเรื่องนี้กับใครอย่างเด็ดขาด
เรื่องนี้จะต้องไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ซึ่งการแพร่งพรายความลับขั้นสุดให้บุคคลอื่นได้ทราบเป็นไปได้ว่าจะ
นำมาซึ่งปัญหาหายนะครั้งใหญ่แก่ผู้แพร่งพรายได้
สุดท้ายด็อกเตอร์ Robert
ถูกคำสั่งให้ออกไปจากห้องนี้ก่อน ซึ่งภายหลังอีกหลายสิบปีต่อมา
ด็อกเตอร์ Robert
จึงได้ทราบจากปากของผู้พัน Mansmann
ว่าภายหลังจากที่ด็อกเตอร์ออกมาจาก
ห้องนี้แล้ว ฟิล์มม้วนนี้ถูกเจ้าหน้าที่ CIA สองท่านนี้ยึดไป
โดยอ้างว่าสิ่งที่ฟิล์มนี้บันทึกอยู่จัดเป็นความลับขั้นสุด
แต่ว่าก่อนที่ฟิล์มม้วนนี้จะถูกยึดไป
ทางผู้พันเองก็ได้ทำการตรวจสอบมาแล้วเช่นกัน
จากการตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วพบว่า
วัตถุลึกลับที่บินเข้ามาใกล้หัวรบนิวเคลียร์จำลองนี้
มีลักษณะคล้ายกับจานทรงแบนสองใบประกอบกัน
โดยที่ด้านบนเป็นโดมกลม ๆ คล้าย ๆ ลูกปิงปองวางอยู่
ด้านล่างของจานดูคล้าย ๆ กับจะเปล่งแสงได้
จานที่ว่านี้เคลื่อนที่ไปโดยการหมุนรอบตัวเองอย่างไม่เร็วนัก
ซึ่งแสงที่ถูกยิงออกมาี้นี้ละ ที่ออกมาจากส่วนของลูกปิงปองนี้
ฟิล์ม้วนนี้คนที่มีโอกาสได้เห็นมีน้อยมาก
จะเป็นก็คือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเท่านั้น อย่าว่าแต่คนภายนอก
แม้แต่เจ้าหน้าที่คนอื่นในฐานทัพนี้ขนาดเป็นถึงระดับผู้บังคับบัญชาของ
ด็อกเตอร์เองก็ยังไม่มีโอกาสได้เห็นเ่ช่นกัน ก็เป็นเวลาร่วม 18 ปี
ที่เรื่องเรื่องนี้ถูกนำมาเผยแพร่
หาอีกสักคลิปเด็ด ๆ ให้ชมกันครับ
กับการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว CNN เช่นกัน
รายละเอียดเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นจะเป็นดังนี้
ก็คือหลายปีมานี้ มีรายงานลับออกมาว่า บ่อยครั้งที่ยูเอฟโอมักจะเข้ามา
ก้าวก่ายปฎิบัติการทางทหารของประเทศมหาอำนาจ ถึงขั้นทำให้เกิดการ
ศึกษาและติดตามอยู่เอฟโออย่างจริงจังจากรัฐบาลกลางของประเทศมหา
อำนาจบบางประเทศ ที่จะมีรายงานกันบ่อย ๆ ก็เช่น สถานที่เก็บอาวุธ
นิวเคลียร์มักจะมีปรากฎการณ์การพบเห็นยูเอฟโอบ่อยครั้งมาก ๆ
ประมาณปี ค.ศ.1964 บริเวณชายฝั่งรัฐแคลิฟอร์เนียร์ เป็นฐานทัพอากาศ
ของสหรัฐฯ แห่งหนึ่งชื่อว่า Vandenberg(ในขณะนั้นเรียกว่า
Vandenberg Air Force Base ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ US Space
force เรียก Vandenberg Space force base) มีเสียงร่ำลือกันว่า ยูเอฟ
โอมาปรากฎในปฎิบัติการที่มีการยิงขีปนาวุธข้ามทวีป ไม่เพียงเท่านั้นมัน
ยังถึงขั้นทำลายหัวรบนี้พินาศเป็นจุลเลยทีเดียว เหตุการณ์นี้ฝรั่งเรียกว่า
The big sur ufo incident หรือเหตุการณ์นี้มันจะหมายถึงคำเตือนจาก
สิ่งมีชีวิตนอกโลกหรือเปล่า ที่เหล่ามนุษย์กำลังพยายามจะสร้างอาวุธที่
ร้ายแรงขึ้นเรื่อย ๆ ก็คือว่าขีปนาวุธนี้จริง ๆ แล้วมันก็ไม่ได้ไปติดตั้งหัวรบ
นิวเคลียร์ของจริง เพียงแต่เป็นหัวรบนิวเคลียร์หลอก ๆ(Dummy
Warhead) เจตนาก็เพื่อจะทดสอบระบบ ทดสอบความพร้อมรบ
ฐานทัพอากาศแห่งนี้ตั้งอยู่ในส่วนหนึ่งของแนวชายฝั่งรัฐแคลิฟอร์
เนียร์ อยู่ระหว่างเมืองลอสแอลเจลลิสและซานฟรานซิสโก สถานที่บริเวณ
นี้มีภูเขาเยอะครับ คือลักษณะเป็นเขาที่มีหน้าผาสูงชัน ไม่ค่อยมีชายฝั่งให้
คนลงไปเล่นน้ำได้ ฐานทัพอากาศแห่งนี้มีบทบาทในการส่งจรวด ส่ง
ขีปนาวุธ ทั้งของจริงและเพื่อการทดสอบระบบ ยกตัวอย่างก็เช่น Thor
intermediate Range Ballistic Missile, The Atlas Missile, The
Titan Missile และขีปนาวุธข้ามทวีป(เรียก ICBM) อื่น ๆ มากมาย
ICBM คำนี้ย่อมาจากคำว่า Intercontinental ballistic missile
เป็นอาวุธวิถีโค้ง(Projectile weapon) ก็คือไม่ว่าคุณจะปล่อยโดยการยิง
ตรง ยิงวิถีโค้ง หรือไปด้วยวิถีใด ๆ มันจะเข้าเป้าหมายที่เราตั้งไว้เสมอถ้า
ระบบนำวิถีหรือเทคโนโ่ลยีระบบนำวิถีของเราใช้งานได้ดี คือมันมีระบบ
นำทางและระบบจรวดส่งกำลังติดไปกับหัวรบในตอนต้นที่ส่งออกไป หลัง
จากที่จรวดถูกส่งออกไปแล้วจนถึงระดับหนึ่งหรืออยู่ในระนาบวงโคจรโลก
แล้ว จรวดส่งกำลังนี้ก็จะหมดกำลังหรือหยุดการทำงานลงและแยกตัวออก
จากหัวรบ หัวรบก็จะเคลื่อนที่ไปตามวิถีที่เราตั้งไว้ว่าจะให้ไปลงที่ไหน
อธิบายง่าย ๆ ก็คล้าย ๆ กับกระสุนปืน(Bullet) นั่นละครับ กระสุนปืน
ประกอบไปด้วยหัวกระสุนและดินปืน ตอนยิงเข็มแทงชนวนจะไปแทงที่ตูด
กระสุนซึ่งบรรจุดินปืนไว้ แต่เมื่อยิงออกไปแล้วดินปืนหมดกำลังลงกระสุนก็
ยังคงเคลื่อนที่ไปตามวิถีที่เล็งไว้ นี่จึงเป็นรากของศัพท์คำนี้ คือ Ballistic
missile ขีปนาวุธที่เคลื่อนที่ไปในลักษณะของกระสุนปืน
ขีปนาวุธที่สามารถเคลื่อนที่ไปได้ไกลมากกว่า 3,400 ไมล์ จะจำแนก
ได้ว่าเป็นขีปนาวุธชนิด ICBM เพราะว่าระยะทางที่ไกลขนาดนี้มันหมายถึง
ทวีปอื่นที่ไม่ได้อยู่ในทวีปที่ขีปนาวุธนี้ยิงออกไป ขีปนาวุธชนิดนี้ปกติจะ
เคลื่อนที่ออกไปนอกอวกาศเลยก่อนที่จะเคลื่อนที่เข้ามาเป้าหมาย ก็
ขีปนาวุธชนิด ICBM ของสหรัฐฯ มักจะนำมาทดสอบยังสถานที่แห่งนี้
ในช่วงปี ค.ศ.1964 ช่วงนั้นเป็นช่วงสงครามเย็น(Cold war) ความ
ตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และอดีตสหภาพโซเวียตขณะนั้นมีมาก ผู้นำของ
อดีตสหภาพโซเวียตขณะนั้นคือ นิกิต้า ครุชเชฟ ในขณะที่ประธานาธิบดี
ของสหรัฐฯ ในยุคสมัยนั้น คือคุณ ลินดอล จอห์นสัน ก็คือท่าน
ประธานาธิบดีท่านมาคือคนที่มาแทนที่คุณ จอห์น เอฟ เคนเนดี้
ประธานาธิบดีคนก่อนที่ถูกลอบสังหารไปนั่นเองครับ ท่านเสียชีวิตไปเมื่อปี
ที่แล้วก่อนที่ประธานาธิบดีคนใหม่จะเข้ามา คือเสียชีวิตไปในปี ค.ศ.1963
ในเดือนพฤศจิกายน มีเสียงร่ำลือว่าอดีตสหภาพโซเวียตอยู่เบื้องหลังการ
เสียชีวิตของท่านประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี้ ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้
เกิดความตึงเครียดขึ้นในช่วงปีนี้ อีกปัญหาหนึ่งก็คือปัญหาวิกฤตเรื่อง
ขีปนาวุธในคิวบาขณะนั้น(Cuban Missile Crisis) เหตุการณ์นี้เกือบ ๆ จะ
ทำให้เกิดสงครามนิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐฯ กับอดีตสหภาพโซเวียต
ก็ด้วยเหตุนี้การพัฒนาขีปนาวุธข้ามทวีป(ICBM) จึงได้รับการพัฒนา
มาก ๆ ในยุคสมัยนั้น Vandenberg Air Force Base จึงมีความสำคัญมาก
เช่นกันในยุคสมัยนั้น มูลเหตุที่เรื่องนี้ถูกแพร่งพรายออกมาทั้งที่เป็นเรื่องที่
ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะนำมาเปิดเผยในที่สาธารณะก็มาจากกระทาชายนาย
หนึ่งชื่อคุณ โรเบริ์ต เจคอบ ก็เรียกย่อ่ ๆ ว่าคุณบ๊อบ ในระหว่างเดือน
พ.ค.ปี ค.ศ.1964 ถึงเดือน พ.ค. ปี ค.ศ.1966 คุณบ๊อบซึ่งตอนนั้นยศนาย
ร้อยรับราชการทหารอยู่ในกองทัพอากาศของสหรัฐฯ คล้ายกับหน้าที่การ
งานจะเกี่ยวกับควบคุมอุปกรณ์สื่อ การถ่ายบันทึกภาพ บันทึกวีดีโอ อยู่ใน
หน่วยที่ 1369 ที่ฐานทัพอากาศ Vandenberg แห่งนี้ หลังจากที่ท่าน
เกษียณหรือหมดจากหน้าที่การงานตรงจุดนี้แล้วภายหลังมีวุฒิการศึกษา
ระดับปริญญาเอก
มีองค์กรอยู่องค์กรหนึ่งถ้าผู้ที่สนใจศึกษาเรื่องยูเอฟโอจะทราบดี ชื่อ
เป็นภาษาอังกฤษว่า "Mufon" คำนี้เป็นคำย่อ ซึ่งย่อมาจากคำเต็มว่า
Mutual UFO Network เรียกว่ามันเป็นเครือข่ายความเต็มใจเกี่ยวกับยู
เอฟโอ ราวเดือนมกราคม ปี ค.ศ.1989 คุณบ๊อบนำเรื่องนี้ออกมาแฉกับ
องค์กร ซึ่งในรายงานเอกสารจะมีอีกบุคคลหนึ่งที่มีความสำคัญและทราบ
เรื่องนี้ดีเช่นกันชื่อคุณ Kingston George คาดว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน
ของคุณบ๊อบหรือจะเป็นหัวหน้างานก็ไม่ทราบได้ ในปี ค.ศ.1964 คุณ
Kingston George อายุราว 33 ปี ทำหน้าที่เป็นช่างเทคนิคทำการ
วิเคราะห์ภาพถ่ายหรือสื่อที่บันทึกหรือรวบรวมได้ของกองทัพอากาศ
สหรัฐฯ ก็คือท่านนี้เองที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบบอกพิกัดตำแหน่ง
บนโลกที่เรา ๆ ใช้กันในปัจจุบันเรียกระบบ GPS(Global Positioning
System) ปัจจุบันท่านเสียชีวิตอายุไปแล้วในปี ค.ศ.2010 สิริอายุรวม 79
ปี
คุณ Kingston George ได้ให้ความเห็นในขณะที่เป็นเจ้าหน้าที่ช่าง
เทคนิคที่ฐานทัพ Vandenberg ว่าหากท่านจะบันทึกภาพถ่ายหรือบันทึก
วีดีโอให้ละเอียดทุก ๆ ขั้นตอนในการส่งจรวดแล้ว การนำกล้องมาถ่ายทำ
ติดตั้งไว้ที่ฐานทัพอย่างเดียว อาจจะได้ภาพที่ไม่ชัดเจนมากนัก เหตุผลก็
เพราะว่าสิ่งที่บันทึกได้ก็น่าจะเป็นเปลวไฟที่พวยพุ่งออกมาจากจรวดและ
ส่วนท้ายของจรวดคล้ายกับจะไปถ่ายทำท่อไอเสียของรถ ในขณะที่ส่วน
กลางหรือส่วนหัวและบริเวณอื่น ๆ ของจรวดเราจะมองไม่เห็นได้อย่าง
ชัดเจน อีกประการก็คือบริเวณฐานทัพ Vandenberg นี้หลาย ๆ วันต่อปี
เลยจัดเป็นพื้นที่ที่มีหมอกลงจัดมาก ซึ่งหากว่าวันที่ทำการส่งจรวดนี้ไป
ตรงกับวันที่หมอกลงจัดแล้วก็เป็นไปได้ว่าภารกิจนี้จะบันทึกภาพอะไรไม่
ได้เลย คือจะมองเห็นแต่หมอกและควันไฟที่พวยพุ่งออกมาจากท้ายจรวด
ซึ่งแท้ที่จริงแล้วจุดที่เหมาะสมที่สุดที่จะนำกล้องต่าง ๆ หลาย ๆ กล้องไป
ติดตั้งเจตนาเพื่่อบันทึกทุก ๆ ขั้นตอนของการส่งจรวด จากการพิจารณา
อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วจุดนี้ไม่น่าจะอยู่ที่ส่วนใดส่วนหนึ่งในฐานทัพ
Vandenberg แห่งนี้แต่จะอยู่ที่สันเขาอีกลูกหนึ่งมากกว่า สันเขาแห่งนี้
เรียก Big Sur เนื่องด้วยเหตุผลที่ว่าภูมิประเทศตรง Big Sur นี้หากมอง
จากสันเขาบริเวณนี้มายังฐานทัพหรือจุดที่ส่งจรวด มันจะมองเห็น
ครอบคลุมทั้งในส่วนเหนือและตะวันตก คือมองเห็นได้ทั้งสองทิศทางเลย
อีกประเด็นหนึ่งคือมันเป็นพื้นที่บริเวณเขาซึ่งสูงจากระดับน้ำทะเลพอ
ประมาณและห่างจากฐานทัพในระยะที่เหมาะสมต่อการบันทึกภาพหรือ
วีดีโอ(Big Sur จะอยู่ห่างจากฐานทัพ Vandenberg โดยประมาณ 124
ไมล์) ดังนั้นเราจึงสามารถจะเห็นได้ชัดเจนตั้งแต่ตอนที่จรวดทะยานขึ้น
จากฐานและลอยขึ้นมาเรื่อย ๆ
สิ่งต่อไปที่ท่านต้องมีคือระบบกล้องและอุปกรณ์การถ่ายทำที่ทันสมัย
และไว้ใจได้ ตรงนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะใช้กล้องที่มีเลนส์ซูมที่โฟกัสได้ใน
ระยะทางไกล รวมถึงอุปกรณ์บันทึกภาพที่จะสามารถขยายภาพได้อย่าง
ชัดเจนและระบบติดตามจรวดว่าจะเคลื่อนที่ไปในทิศทางใดติดตั้งอยู่บน
กล้องบันทึกภาพหรือวีดีโอนี้ ก็จริง ๆ แล้วอุปกรณ์ทั้งหมดที่เราต้องการนี้
มันมีอยู่แล้วถูกสร้างขึ้นมาแล้ว มันคือกล้องโทรทรรศน์มหาวิทยาลัย
บอสตันเจ้าของกล้องนี้คือ AFETR(Air Force Eastern Test Range)
กล้องชนิดนี้เป็นกล้องประสิทธิภาพสูงมาก ใช้เลนส์ขนาดเส้นผ่าน
ศูนย์กลาง 24 นิ้ว เลนส์โฟกัส 240 นิ้ว ตัวเลนส์ออกแบบให้ทนร้อนทน
ความเย็นได้และเป็นฉนวนต่ออากาศไม่สัมผัสอากาศ และออกแบบให้
สามารถบันทึกได้แม้ในตอนที่มีแสงสว่างน้อยดึงภาพได้ไกล สามารถ
บันทึกได้แม้แต่เปลวไฟที่ออกมาจากส่วนท้ายสุดของจรวดซึ่งเป็นเปลวที่
อ่อนแสงมากกล้องทั่ว ๆ ไปเรียกว่าหมดสิทธิ์ที่จะเห็นได้จะเห็นได้ก็แต่
เปลวไฟส่วนที่สว่างที่สุดหรือสว่างได้กลาง ๆ กล่าวโดยสรุปกล้องชนิดนี้
มันเป็นกล้องที่มีประสิทธิภาพดีกว่ากล้องขนาด 35 มม.ทั่ว ๆ ไปที่คนใช้กัน
เทียบได้เป็นพันเท่าเลย
กล้องโทรทรรศน์ที่ว่านี้เรียกกันทั่วไปว่า B.U. กล้องนี้เรียกว่าเป็น
อุปกรณ์ถ่ายและบันทึกในอุดมคติเลยตรงกับจุดประสงค์ที่ต้องการที่จะใช้
งาน ตามความเห็นของคุณ Kingston George คือเจตนาถ่ายบันทึก
ตั้งแต่ขั้นตอนแรกสุดวินาทีแรกสุดที่จรวดถูกปล่อยออกจากฐานทัพ ถ้าเรา
หาสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดได้และสถานที่แห่งนี้อำนวนให้สามารถเคลื่อน
ย้ายกล้องชนิดนี้เข้าไปในพื้นที่ได้สะดวก เนื่องจากกล้องชนิดนี้มีขนาดที่
ใหญ่พอประมาณ ประมาณขนาดว่าใหญ่พอ ๆ กับรถตู้ได้เลยทั้งยังมีน้ำ
หนักพอสมควรและเป็นอุปกรณ์ที่บอบบาง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดูแลให้
ดีมาก ๆ เพื่อที่จะไม่ให้มันเกิดความเสียหายระหว่างการเคลื่อนย้ายเดิน
ทาง ปกติแล้วกล้อง B.U. นี้จะถูกเคลื่อนย้ายโดยใส่หลังรถดีเซลพ่วง ก็
แน่นอนที่สุดว่าถนนที่จะให้รถขนาดใหญ่อย่างนี้เข้าไปได้มันก็ต้องมีและ
เป็นเส้นทางที่ดีพอสมควร การเดินระบบไฟไปยังสันเขา ฺBig Sur เพื่อ
ให้การทำงานสะดวกยิ่งขึ้นเป็นงานที่ใช้งบประมาณค่อนข้างมากทีเดียว
เพราะว่าสันเขา Big Sur เป็นพื้นที่เขาและห่างไกลบ้านเรือนปกติของคน
และยิ่งจะเป็นแค่การทดสอบระบบการยิงขีปนาวุธด้วยแล้วมันไม่ได้
เป็นการยิงขีปนาวุธของจริง มันก็ต้องมาพิจารณาให้ดีว่าจะคุ้มกับการ
ลงทุนหรือไม่หรือควรจะลงทุนหรือไม่หรือควรจะย้ายไปยังสถานที่อื่นที่จะ
ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่า
บริเวณภูเขา Big Sur นี้จริง ๆ แล้วมันก็เป็นพื้นที่ใหญ่พอควรไม่ใช่
พื้นที่เล็กจึงน่าจะดีที่จะหาทำเลที่เหมาะที่สุดในบริเวณภูเขา Big Sur แห่ง
นี้ วันที่ 10 มิถุนายน ค.ศ.1964 คุณ Kingston George นำทีมไปยังจุด ๆ
หนึ่งบริเวณภูเขา Big Sur แห่งนี้บริเวณนี้ คุณ Kingston George ได้เคย
เข้ามาสำรวจแล้วก่อนหน้านี้ไม่นานนัก ก็จะอยู่ใกล้กับยอดเขาแอนเดอร์
สัน(Anderson Peak) มีระดับความสูงประมาณ 3,400 ฟุตเหนือระดับน้ำ
ทะเลห่างจากศูนย์ป้องกันไฟป่าไม่ไกลนักประมาณ 9 ไมล์ทั้งยังอยู่สูงกว่า
ระดับถนนบนเขาที่รถสัญจร ทางทีมสำรวจลงความเห็นว่าบริเวณนี้ละที่
เหมาะที่สุดที่จะเคลื่อนย้ายกล้องที่บอบบาง B.U. เข้ามาได้อย่างไม่มี
ปัญหาใด ๆ ปัญหาต่อไปคือเวลาที่จะถ่ายทำบันทึกภาพ ในยุคสมัยนั้นการ
ติดต่อสื่อสาร ระบบโทรคมนาคม ระบบโทรศัพท์ผ่านดาวเทียม หรือระบบที่
ทันสมัยที่ใช้กันในปัจจุบันบางระบบยังไม่มีเสียด้วยซ้ำไป ดังนั้นหากการ
ส่งจรวดหรือขีปนาวุธขึ้นจากฐานทัพอากาศ Vandenberg มันจะต้องเป็น
เวลาเดียวกันเป๊ะ ๆ กับเวลาที่เปิดกล้องบันทึกภาพ บันทึกวีดีโอ แทบจะ
คลาดเคลื่อนไม่ได้ เพราะหากเจ้าหน้าที่ที่คอยบันทึกภาพบันทึกวีดีโอไม่
ทราบมาก่อนว่าจรวดถูกส่งขึ้นแล้ว หรือบันทึกไม่ทันเวลา หรือบันทึกใน
เวลาที่เคลื่อนออกไป คือจรวดถูกส่งขึ้นแล้วจึงค่อยเปิดกล้องมันก็จะทำให้
การบันทึกผิดพลาดไปได้เช่นเดียวกัน ตรงนี้สุดท้ายทำการแก้ไขได้ผ่าน
ไปได้ เวลาทั้งสองจุดที่นัดแนะกันไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย ซึ่งระบบเวลานี้
มันก็จำเป็นต้องประกอบติดเข้าไปกับกล้องโทรทรรศน์นี้ด้วยเช่นกัน
ท่านครับ ถ้าจะมีคำถามว่าสมมติบนโลกใบนี้ยังไม่มีโทรศัพท์มือ
ถือ โทรศัพท์ผ่านดาวเทียม ระบบจีพีเอส อินเตอร์เนต โซเชียลมีเดีย หรือ
อะไรก็ตามที่ทันสมัยมาก ๆ เหมือนยุคปัจจุบันที่คนใช้กัน ถ้าหากว่าคน
กลุ่มหนึ่งจำเป็นต้องทำงานกับคนอีกกลุ่มหนึ่งหรือบางทีอาจจะมากกว่า
หนึ่งกลุ่ม ซึ่งกลุ่มตนที่ทำงานนี้เป็นงานงานเดียวกันที่ต้องทำ ต้องทำให้
สัมพันธ์กัน โดยมีเงื่อนไขคือคนทั้งสองกลุ่มหรือหลายกลุ่มอยู่คนสถานที่
กัน ห่างกันพอสมควรหรือห่างกันมาก ๆ คำถามคือมันเป็นไปได้ไหมที่คน
หลายกลุ่มนี้าจะทำงานลักษณะงานแบบนี้ได้ คำตอบคือทำได้ครับ ไม่ถึง
กับจะเป็นไปไม่ได้ แต่มันต้องเม่นยำเรื่องเวลามาก ๆ การนัดแนะที่จะลงมือ
ปฎิบัติการต้องนัดแนะให้ดีโดยเฉพาะแล้วเรื่องเวลา มันต้อง เป๊ะ เป๊ะ และ
เป๊ะ ถ้าท่านมีกล้องอย่างดีมีสื่อที่จะบันทึกภาพหรือวีดีโอท่านมีเจตนาจะบัน
ทึกวีดีโอบุคคลหนึ่งที่จะออกจากบ้านโดยเงื่อนไขว่าจะไม่สามารถผิด
พลาดได้เลย ถามว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการจะทำปฎิบัติการนี้ คำ
ตอบที่ถูกต้องคือท่านต้องทราบก่อนครับว่าบุคคลนี้จะก้าวเท้าออกจาก
บ้านเวลาไหน คือท่านต้องรู้เวลาที่ชัดเจนครับ เพราะถ้าหากท่านไม่ทราบ
เวลาที่ชัดเจนแล้วท่านอาจจะเปิดเฟรมกล้องไม่ทัน กดปุ่มบันทึกไม่ทัน
แพนกล้องตามบุคคลนั้นไม่ทัน ดึงซูมกล้องเพื่อความชัดเจนของภาพตาม
ไม่ทัน หรือถ้าหากท่านไปเปิดเฟรมกล้องตั้งกล้องเร็วจนเกินไปโดยที่ยัง
ไม่รู้เหมือนกันว่าบุคคลนี้จะก้าวเท้าออกจากบ้านตอนไหน อันนี้ก็ไม่มี
ประโยชน์เช่นกันเพราะว่าบุคคลนี้อาจจะยังไม่พร้อมที่จะออกจากบ้าน
หรือถ้าแย่กว่านั้นบุคคลนี้ตอนออกจากบ้านเขาไม่ได้เดินออกมา แต่วิ่ง
ออกมาแทน ตรงนี้ท่านก็จะบันทึกอะไรไม่ได้เลยเพราะว่าอุปกรณ์ที่ถ่ายทำ
ยังไม่อยู่ในสภาพที่พร้อมจะทำงานหรือพร้อมที่จะบันทึกและเหตุการณ์มัน
ก็เกิดขึ้นเร็วจนเกินไป เช่นเดียวกันขีปนาวุธที่กำลังจะถูกส่งขึ้นจากฐาน
ทัพฯ หากว่ามีความผิดพลาดในระบบขีปนาวุธเกิดการระเบิดที่บริเวณฐาน
ส่ง หรือขีปนาวุธทะยานขึ้นมาไม่นานนักก็เกิดอุบัติเหตุบางอย่างขึ้น หรือ
บางกรณีที่พบกันบ่อย ๆ(ผมเองก็เคยเห็น) มันมีชิ้นส่วนบางชิ้นส่วนของ
จรวดขีปนาวุธกระเด็นหรือหลุดออกมาอาจจะเป็นเพราะความผิดพลาดใน
ขั้นตอนการประกอบชิ้นส่วนหรืออาจจะเพราะแรงสั่นสะเทือนอย่าง
มหาศาลแต่ตัวจรวดยังคงทะยานขึ้นไปได้เป็นปกติ การนำวีดีโอที่บันทึก
ได้มาเปิดและทบทวนดูอย่างละเอียดและวิเคราะห์หาสาเหตุเป็นสิ่งที่จำเป็น
มาก ๆ เราจำเป็นต้องพึ่งภาพที่ถ่ายได้ วีดีโอที่บันทึกได้อย่างไม่ต้องสงสัย
ดังนั้นแล้วการถ่ายบันทึกขีปนาวุธที่กำลังจะถูกปล่อยออกจากฐานและ
เคลื่อนที่ออกนอกโลกโดยที่กล้องที่ทำการถ่ายทำอยู่คนละสถานที่กัน
ไม่ใช่การถ่ายละคร โฆษณา ซึ่งสามารถจะคัทแล้วเริ่มต้นถ่ายใหม่ได้ ถ้า
หากผิดพลาดไปเพียงนิดเดียวในยุคสมัยนั้นแล้วคือจบ ภารกิจล้มเหลว
ภารกิจและเงินลงทุนมหาศาลที่ลงทุนไปถือว่าไม่ได้ผลตอบแทนอะไรกลับ
มา กว่าจะรอให้ส่งขีปนาวุธขึ้นอีกครั้งก็ไม่รู้จะเมื่อไรมันจะมีค่าใช้จ่ายที่
แพงมาก
วันที่ 28 สิงหาคม ค.ศ.1964 ขบวนเคลื่อนย้ายกล้องโทรทรรศน์ที่
บอบบางและราคาแพง B.U. เริ่มต้นการทำงาน การเคลื่อนย้ายมายังจุดที่
เตรียมไว้เรียบร้อยในวันที่ 31 สิงหาคม ค.ศ.1964 พร้อมกับเจ้าหน้าที่ที่
เกี่ยวข้องซึ่งจะพักและอยู่ในปฎิบัติการนี้ราว 30 วัน บุคคลที่สำคัญที่อยู่ใน
ปฎิบัติการนี้ก็เช่น M.Spooner และผู้พัน Florenz J. Mansmann Jr.
(อายุขณะนั้น 44 ปี) ท่านดำรงตำแหน่งผู้พันในปี ค.ศ.1964 เคยได้รับ
ปริญญาระดับดุษฏีบัณฑิต ท่านผู้นี้ปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่ปี
ค.ศ.2000 สิริอายุรวม 85 ปี ท่านผู้นี้เป็นระดับนายทหารที่ได้รับการแต่ง
ตั้งให้บังคับบัญชาหน่วยงานทางวิทยาศาสตร์หน่วยงานนี้ สุดท้ายกล้อง
B.U.ได้ทำการติดตั้งอย่างเรียบร้อยดีไม่มีอุปสรรคใด ๆ ท่ามกลางความ
ยินดีของเหล่าเจ้าหน้าที่วิศวกรและผู้บังคับบัญชา M.Spooner และผู้พัน
Florenz J. Mansmann Jr. เดินทางกลับไปยังฐานทัพอากาศ
Vandenberg ส่วนเจ้าหน้าที่คนอื่นก็ยังคงต้องเตรียมความพร้อมอื่น ๆ
เพื่อที่จะบันทึกภาพและวีดีโอในระยะเวลาประมาณ 30 วันบนสถานที่แห่ง
นี้เป็นไปได้ว่าการทดสอบอาจจะมีมากถึงประมาณ 11 ครั้ง
เหตุการณ์ที่เกิดตรงนี้ คุณ โรเบริ์ต เจคอบ คนที่ออกมาเปิดเผย
ยอมรับว่าจำได้ไม่แน่ชัดนักเพราะว่าเหตุการณ์มันก็ผ่านมาเนิ่นนานพอ
สมควรแล้วแต่เข้าใจไม่ผิดมันจะไปตรงกับวันที่ 2 หรือไม่ก็วันที่ 3 หรือ 15
เดือนกันยายน ค.ศ.1964 ขีปนาวุธข้ามทวีปวันนั้นถูกติดตั้งไปกับจรวดส่ง
กำลังชื่อ Atlas-F หรือไม่ก็จะเป็นจรวดอีกรุ่นชื่อ Atlas-D
โปรเจคนี้ดั้งเดิมแล้วก็ไม่ใช่เป็นโปรเจคที่จะไปทำร้ายหรือยิงใส่
ประเทศอื่น แต่จะมาจากโปรเจค Anti-missile missile คือเป็นขีปนาวุธที่
ออกแบบมาเพื่อใช้ป้องกันตนเองจากขีปนาวุธอื่นที่ถูกส่งมาจากฝ่ายตรง
ข้าม คือออกแบบมาเพื่อสกัดกั้นขีปนาวุธอื่นที่จะมาทำร้ายประเทศ โปรเจค
ก็พัฒนาโปรเจคนี้มาเรื่อย ๆ โปรเจคลักษณะนี้ฝรั่งนักวิเคราะาห์ยุคปัจจุบัน
กล่าวว่าถ้ามองจากปัจจุบันแล้ว สิ่งที่ฝรั่งในอดีตทำอยู่นี้จัดเป็นโปรเจคที่ขี้
ปะติ๋วและดูงี่เง่าเอามาก ๆ เนื่องด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทาง
ทหารของประเทศมหาอำนาจในปัจจุบันที่รุดหน้าไปมาก ๆ แล้ว การส่ง
จรวดที่ใหญ่และสิ้นเปลืองขนาดนี้ออกไปสกัดกั้นขีปนาวุธอื่นแค่ลูกเดียว
เพราะจรวดหนึ่งลูกน่าจะสกัดกั้นขีปนาวุธได้ 1 ขีปนาวุธ ซึ่งมันอาจจะเกิด
ข้อผิดพลาดยิงไม่โดนได้ หรือถ้าจะให้ชัวร์บางทีอาจจำเป็นต้องส่งจรวด
ขึ้นไปสกัดขีปนาวุธลูกเดียวมากกว่าหนึ่งจรวด ซึ่งในปัจจุบันมันมี
เทคโนโลยีที่ทันสมัยกว่านี้ทั้งยังได้ผลที่แม่นยำและประหยัดค่าใช้จ่าย
มากกว่าในการสกัดหัวรบนิวเคลียร์ที่ถูกส่งมาทางอวกาศจากทวีปอื่น(แต่
เขาสงวนไม่เปิดเผยว่าคืออะไร เป็นความลับทางทหาร) มันเป็นเรื่อง
โบราณสำหรับประเทศมหาอำนาจในยุคปัจจุบันแต่ในอดีตเรื่องที่ทำอยู่นี้
ถูกพิจารณาให้เป็นเรื่องที่ใหญ่มาก
ในปัจจุบันมีระบบอาวุธแบบเลเซอร์ ออกแบบมาเพื่อใช้ทำลายล้าง
เครื่องบินรบ หรือวัตถุใด ๆ ที่ไม่เป็นมิตร ระบบนี้เรียกว่า Laws laser
system ออกแบบมาจากกองทัพเรือและใช้ประจำการในกองทัพเรือสหรัฐ
โดยกินกำลัง 30 กิโลวัตต์ ระบบนี้ถูกติดตั้งบนเรือรบ Uss ponce ในปี
ค.ศ.2014 มันทำงานได้เงียบสนิท ไม่มีดินปืนจึงไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องที่อาจ
จะไม่ปลอดภัยเกิดการระเบิดจากปากกระบอกในขั้นตอนการปล่อยออกมา
ไม่ปล่อยวัตถุใด ๆ ให้หลงเหลือเพื่อเก็บกวาด มองหรือสังเกตุเห็นได้ยาก
มาก ๆ ได้ผลที่แม่นยำเนื่องจากเป็นระบบแสงเลเซอร์จึงทำให้ไม่มีแรงสั่น
สะเทือนใด ๆ ออกมาในขั้นตอนการยิง จึงสามารถยิงเข้าเป้าหมายได้
อย่างแม่นยำ ใคร ๆ ก็ใช้งานได้เพียงแค่คุณเล่นวีดีโอเกม PS4 เป็นคุณก็
สามารถใช้งานมันได้แล้ว มันเป็นระบบที่ตรวจจับได้ยากมาก ๆ สามารถยิง
ได้อย่างต่อเนื่อง ยิงผิดก็สามารถยิงใหม่ได้ ไม่มีข้อจำกัดถึงขนาดไม่มี
ทางจะหมดไปง่าย ๆ คือยิงไปได้เรื่อย ๆ ไม่จำเป็นต้อง
กังวลเหมือนกระสุนหรือขีปนาวุธทั่ว ๆ ไปที่เมื่อยิงไปเรื่อย ๆ แล้วจะร่อย
หรอลง ความเข้มของเลเซอร์ก็ยังสามารถจะปรับตั้งได้ให้มีความรุนแรง
ขนาดไหน แม้แต่ความเข้มต่ำ ๆ ขอเลเซอร์นี้เมื่อยิงไปโดนก็มีผลต่อยาน
พาหนะหรือขีปนาวุธศัตรูที่เข้ามาได้แล้ว คือจะทำให้ระบบนำทางของ
ขีปนาวุธหรือเครื่องบินลำนั้นถูกรบกวนจนทำงานไม่ได้ แต่ถ้าปรับระดับ
ความเข้มให้รุนแรงขึ้นแล้ว คราวนี้ก็จะทำลายขีปนาวุธหรือเครื่องบินรบได้
เลย
และสิ่งที่น่าทึ่งที่สุดคือ มันมีค่าใช้จ่ายในการปฎิบัติการยิงต่อครั้งถูก
อย่างไม่น่าจะเชื่อได้ การยิงขีปนาวุธโดยทั่ว ๆ ไปเฉลี่ยแล้วขีปนาวุธ
ประสิทธิภาพดี ๆ จะมีมูลค่าลูกหนึ่งเป็นหลายพันเหรียญทีเดียว แต่บาง
ระบบเลเซอร์ชนิดนี้มีค่าใช้จ่ายในการปฎิบัติการคือการยิงแต่ละครั้งมีค่า
ใช้จ่ายขั้นต่ำแค่ 59 เซ็นต์สหรัฐเท่านั้นเอง(แล้วแต่รุ่นและระบบของ
เลเซอร์ที่ออกแบบมา) ระบบนี้เป็นเพียงระบบพัฒนาขั้นต้นเท่านั้นเอง
เพราะว่ามันมีการพัฒนามาอีกเรื่อย ๆ บริษัทล็อกฮีท มาร์ติน เรียกระบบ
HELIOS กินกำลัง 60 กิโลวัตต์ คือประสิทธิภาพเป็นสองเท่าของระบบเดิม ๆ
ก็สุดท้ายการนับถอยหลังเวลาที่จะส่งจรวดดังขึ้นจากเวลาที่ได้
นัดแนะนัดหมายเป๊ะ ๆ และก็ดังขึ้นจากวิทยุสื่อสารเคลื่อนที่ด้วย นั่นแปลว่า
ไม่มีอะไรผิดพลาดหรือมีการเลื่อนเวลาแต่อย่างใด การนับดังขึ้นเรื่อย ๆ
จนมาสุดที่คำว่า Ignition(จุดระเบิด) Liftoff(ปล่อยจรวดออกจากฐาน)
กล้องทุกตัว ณ สถานที่ Big Sur แห่งนี้ไม่ว่าจะเป็นกล้องบันทึกภาพ กล้อง
บันทึกวีดีโอ แพนและซูมเต็มกำลังไปยังฐานทัพอากาศ Vandenberg
บริเวณที่ทำการปล่อยจรวดเพื่อการบันทึกที่ทันท่วงที เจ้าหน้าที่ที่ Big Sur
ตะโกนออกมาด้วยความยินดีดีใจว่า มันทำได้จรีง ๆ ไม่มีอะไรผิดพลาด
หรือเกิดการระเบิด หมวกควันพวยพุ่งออกจากท้ายของจรวดที่กำลัง
ทะยานขึ้นสู่อวกาศ กล้อง B.U. นี้มันเยี่ยมยอดสมกับคำร่ำลือจริง ๆ ขนาด
ว่าจรวดทะยานขึ้นจากฐานไปประมาณ 100 ไมล์แล้วแต่ภาพที่บันทึกได้ก็
ยังคงคมชัด มันคมชัดทุกขั้นตอนไม่เว้นแม้แต่เปลวไฟเปลวสุดท้ายที่พวย
พุ่งออกมา ทั้งยังระบบการแพนตามวัตถุที่เคลื่อนที่ห่างออกไปก็ทำงานได้
อย่างสมบูรณ์ ภาพวัตถุที่จับได้อยู่ตรงกลางกล้องพอดิบพอดี ด้วยความ
สูงขนาดนี้ตอนนี้กล้องอื่น ๆ ที่อยู่บริเวณ Big Sur หมดสิทธิ์ในการบันทึก
ทันที
แต่เรื่องที่แปลกอีกอย่างก็คือ ตอนนี้ไม่มีเจ้าหน้าที่ที่ ่Big Sur มอง
เข้าไปยังกล้อง B.U. แต่ละคนจ้องมองไปบนท้องฟ้าด้วยตาเปล่าด้วย
ความตื่นเต้นเพื่อการชื่นชมและดื่มด่ำกับภาพที่เห็นกับตาตัวเองจริง ๆ
กล้อง B.U. จึงทำหน้าที่ของมันไปตามปกติที่ได้ตั้งโปรแกรมบันทึกภาพ
เคลื่อนที่ไปจนหมดม้วนฟิล์ม ภารกิจการบันทึกวีดีโอและภาพที่ Big Sur ก็
เป็นไปตามจุดประสงค์ที่กล่าวมาแต่ข้างต้นแล้วนั่นคือบันทึกให้มองเห็น
ด้านข้างของจรวด และการทำงานของจรวดขับดันทั้งสามระยะ(Stage)
ว่าจรวดขับดันทำงานได้อย่างสมบูรณ์ถูกต้องหรือไม่ คุณ โรเบริ์ต เจคอบ
นำม้วนฟิล์มนี้ออกมาจากกล้องและเก็บรักษาเป็นอย่างดีในกล่องใส่ม้วน
ฟิล์มเพื่อที่จะนำไปตรวจสอบและวิเคราะห์ในห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์
ที่ฐานทัพอากาศ Vandenberg อีกครั้ง ซึ่งการตรวจสอบก็จะทำกันในวัน
เดียวกันนี้เองคือทำคืนนี้และพรุ่งนี้ก็จะได้ข้อสรุปและแถลงข่าวต่อ
สาธารณชนได้ ก็คือตอนนั้นเจ้าหน้าที่บนฐานทัพอากาศ Vandenberg
และทีมเจ้าหน้าที่บันทึกภาพที่ Big Sur ไม่รู้หรอกครับว่ามีอะไรเกิดขึ้น
หลังจากที่จรวดพ้นสายตาและอยู่บนอวกาศแล้ว เพราะว่าสายตาของ
มนุษย์ก็จะมองเห็นได้ในระยะความสูงที่จำกัดเท่าที่ตาของเราจะมองเห็น
และแสงสว่างจะอำนวย หลังจากที่จรวดขึ้นไปสูงมาก ๆ และพ้นสายตาเรา
แล้วก็จะต้องเชื่อในอุปกรณ์เทคโนโลยีที่เราใส่ไปในจรวดในขีปนาวุธว่าจะ
ใช้งานได้หรือทำงานอย่างได้ผลถูกต้องหรือไม่ คือมันอยู่นอกขอบเขต
ของการมองเห็นไปแล้ว
แต่สิ่งที่น่าแปลกมันกลับจะเกิดขึ้นในวันรุ่งขึ้น เพราะว่า คุณ โรเบริ์ต
เจคอบ ได้รับโทรศัพท์จากผู้พัน Florenz J. Mansmann Jr. แจ้งให้คุณ
โรเบริ์ต เจคอบ มาพบที่สำนักงานกองบัญชาการโดยด่วนที่สุด ก็ตอน
ที่ คุณ โรเบริ์ต เจคอบ ไปถึงกองบัญชาการในห้องทำงานนี้มีเจ้าหน้าที่
หลายคนรออยู่และก็ฟิล์มม้วนที่บันทึกภาพไว้เมื่อวานนี้และก็จอภาพที่จะ
ฉายแสดงด้วย ก็เท่าที่สังเกตุในคนกลุ่มนี้มีอยู่สองคนที่ดูแปลก ใส่สูทสีดำ
ธรรมดา ไม่ได้แต่งเครื่องแบบเหมือนนายทหารทั่ว ๆ ไปรออยู่ คนสองคนนี้
ดูแปลกมาก ไฟในห้องถูกหรี่ลงและม้วนฟิล์มนี้ถูกนำมาเปิดฉายไปยังจอ
โปรเจคเตอร์ ภาพที่อยู่บนโปรเจคเตอร์ก็เป็นสิ่งที่บันทึกได้เมื่อวานนี้เอง
เป็นวีดีโอที่มีคุณภาพสูงไร้ที่ติ มองเห็นได้ทุกเฟรมอย่างชัดเจนจนกระทั่ง
จรวดขับดันสุดท้ายที่อยู่บนอวกาศปล่อยหัวรบ Dummy Warhaed ออก
มา
แต่สิ่งที่ปรากฎในม้วนฟิล์มที่แสดงออกมาต่อไปนี้สร้างความ
ประหลาดใจให้กับ คุณ โรเบริ์ต เจคอบ เป็นอย่างยิ่งเพราะตอนที่ใกล้จะจบ
ม้วนฟิล์ม มันเป็นวัตถุอะไรก็ไม่ทราบได้เคลื่อนที่มาจากทางซ้ายไปทาง
ขวามือ(ถ้ามองไปยังโปรเจคเตอร์) วัตถุประหลาดที่เคลื่อนที่ลักษณะวนไป
รอบ ๆ หัวรบที่หลุดออกมาแล้ว และกระทำอะไรบางอย่างเช่นปล่อยแสง
สว่างออกมาใส่หัวรบ หัวรบ Dummy Warhead นี้กำลังเคลื่อนที่ไปทาง
มหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้(ซึ่งเป็นมหาสมุทรใหญ่ ไม่มีคนอาศัยอยู่หรือ
แม้แต่เกาะ) ความเร็วของหัวรบในขณะนั้นที่อยู่ในอวกาศน่าจะประมาณ
ความเร็วได้ 18000 ไมล์ต่อชั่วโมง วัตถุประหลาดนี้ปล่อยหรือพ่นแสงออก
มาใส่หัวรบ นับได้ประมาณ 4 ครั้ง การปล่อยแสงออกมาแต่ละครั้งดูแล้ว
รุนแรงมาก ๆ ถึงกับทำให้หัวรบ Dummy Warhead สั่นสะเทือนมองเห็น
เป็นเปลวรัศมีออกมาจากหัวรบ จนสุดท้ายวัตถุุประหลาดนี้ได้เคลื่อนที่จาก
ไปในทิศทางเดียวกันกับที่มันเคลื่อนที่เข้ามา คือกลับออกไปทางด้านซ้าย
มือ พิจารณาดูรูปร่างวัตถุประหลาดที่เข้ามากระทำสิ่งนี้แล้วก็มีรูปร่างไม่
ต่างอะไรไปจากสิ่งที่คนบนโลกพบเห็นมันบ่อย ๆ มันมีรูปทรงเป็น
"จานบิน" นั่นเอง โดยบนสุดของมันมีลักษณะเป็นรูปโดม ส่วนแสงที่ถูก
ปล่อยออกมาจากจานบินลำนี้จะมาจากด้านล่างของมัน
ก็คือว่าการเคลื่อนที่ของวัตถุบินลึกลับลำนี้ อธิบายว่าหัวรบอยู่
บริเวณตรงกลางสุดของหน้าปัทม์นาฬิกา ถ้านำมาเทียบกับหน้าปัทม์
นาฬิกาที่แขวนในแนวดิ่ง(แขวนติดผนัง) แล้ววัตถุบินลึกลับนี้เคลื่อนที่
ลักษณะตามเข็มนาฬิกา พ่นหรือปล่อยแสงออกมา 4 ครั้งที่นับได้ จุดที่
วัตถุบินลึกลับนี้ปล่อยแสงออกมา ถ้ามองไปตามหน้าปัทม์นาฬิกาจะเริ่ม
จากที่บริเวณ 12.00 น., 3.00 น., 6.00 น. และ 9.00 น. หัวรบ Dummy
Warhead ถึงกับสิ้นฤทธิ์ในแนววงโคจรโลกระดับต่ำ(Suborbit) ไม่
สามารถเคลื่อนที่ต่อไปยังเป้าหมายที่วางไว้ด้วย จุดที่หัวรบสิ้นฤทธิ์นี้อยู่
ก่อนถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ประมาณหลายร้อยไมล์ ก็ถือว่าไม่ไกลนักจากจุด
เป้าหมายที่ได้วางไว้ หลังจากที่ภาพยนต์จบลง ไฟในห้องสว่างขึ้นอีก
ครั้ง ผู้พัน Florenz J. Mansmann Jr. กล่าวขึ้นมากับ คุณ โรเบริ์ต เจ
คอบ ว่าวัตถุบินลึกลับลำนี้ได้ทำลายทรัพย์สินของรัฐบาลสหรัฐฯ ผมเรียก
คุณเข้าพบก็เพราะต้องการจะสอบถามว่า คุณหรือคนหรือทีมงานของคุณ
ที่ Big Sur ได้เล่นตลก วางยากล้องโทรทรรศน์ B.U. หรือมีการตัดต่อใด ๆ
ในม้วนเทปขึ้นมาหรือไม่ ก็เพราะว่า คุณ โรเบริ์ต เจคอบ และทีมงานของ
คุณ โรเบริ์ต เจคอบ เป็นผู้ที่อยู่ใกล้กับกล้องโทรทรรศน์ B.U. มากที่สุดใน
ระหว่างที่กล้องนี้บันทึกวีดีโอ เป็นทีมงานที่ควบคุมอุปกรณ์ทุกชิ้นที่ Big
Sur อีกประการม้วนเทปที่นำมาส่งที่กองบัญชาการ ก็เป็น คุณ โรเบริ์ต เจ
คอบ นั่นเองที่เป็นบุคคลที่นำมาส่งเอง
คุณ โรเบริ์ต เจคอบ กล่าวกับ ผู้พัน Florenz J. Mansmann Jr.
ว่าผมไม่ได้ทำหรือไปทำอะไรกับกล้อง B.U. หรือเทปที่นำส่ง ผมไม่มีความ
รู้ใด ๆ ในกระบวนการตัดต่อภาพยนต์หรือมีความรู้ใด ๆ เกี่ยวกับการ
ดัดแปลงกล้องโทรทรรศน์ราคาแพงและบอบบางและก็เป็นทรัพย์สินของ
รัฐบาลด้วย ผู้พัน Florenz J. Mansmann Jr. กล่าวต่อไปว่าแล้วงั้นคุณ
ช่วยอธิบายหน่อยว่าที่เห็นในม้วนเทปนี่มันคืออะไร คุณ โรเบริ์ต เจคอบ
กล่าวไปว่าถ้าดูไปตามที่เห็น ๆ กันนี้แล้วก็น่าจะเป็นยูเอฟโอที่เข้ามาทำลาย
หัวรบนี้ละครับ มันอธิบายเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ชายสองคนในชุดสูทสีดำมอง
มายัง คุณ โรเบริ์ต เจคอบ ทันที ผู้พัน Florenz J. Mansmann Jr. มองไป
ยังชายทั้งสองคล้าย ๆ กับจะบอกเป็นนัยว่าเดี๋ยวผมจัดการเรื่องนี้เอง ผู้พัน
Florenz J. Mansmann Jr. กล่าวกับ คุณ โรเบริ์ต เจคอบ ว่าคุณต้องห้าม
นำเรื่องนี้ไปบอกกับคนอื่นหรือไปเล่าที่ไหนก็ตามแต่อย่างเด็ดขาด สิ่งที่
คุณกับผมเห็นในม้วนเทปนี้จะต้องเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นอย่างเด็ด
ขาด ชายในชุดสูทสีดำทั้งสองไม่พูดอะไรออกมา ไม่ยิ้ม ไม่แสดงท่าทาง
ใด ๆ จริง ๆ ผมเองก็อยากจะได้ม้วนเทปนี้กลับไปตรวจสอบเองให้ละเอียด
ไปขยายให้ดูชัด ๆ อีกครั้งแต่มันคงจะเป็นไปไม่ได้แล้ว ผู้พัน Florenz J.
Mansmann Jr. กล่าวต่อไปว่าคุณก็รู้ดีว่าเรื่องนี้ซีเรียสขนาดไหน ผู้พัน
Florenz J. Mansmann Jr. เดินไปส่ง คุณ โรเบริ์ต เจคอบ ที่ประตูและ
กล่าวเป็นครั้งสุดท้ายว่า เรื่องที่่เห็นในวันนี้จะต้องไม่เคยเกิดขึ้นอย่างเด็ด
ขาด ในอนาคตถ้ามีคนมาถามว่าเกิดอะไรขึ้นให้คุณตอบไปว่ามันเป็นแสง
จากระบบ Laser Tracking ผู้พัน Florenz J. Mansmann Jr. มองกลับ
ไปยังชายใส่สูทดำทั้งสองด้วยท่าทีหวาด ๆ ก็เป็นที่ทราบ ๆ กันอยู่แล้วว่า
ในปี ค.ศ.1964 ระบบ Laser Tracking ยังไม่มีใช้กันยังไม่ได้รับการ
พัฒนา และมันก็คงจะไม่มียานพาหนะชนิดใด หรือประเทศใดบนโลกใน
เวลานั้นจะสามารถผลิตยานพาหนะที่บินออกไปยังวงโคจรระดับต่ำเพื่อไป
ทำลายหัวรบที่กำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วอันมหาศาล 18000 ไมล์ต่อ
ชั่วโมง ทั้งยังจะมีระบบอาวุธที่ทันสมัยขนาดนี้