ส.ต.ใต้ทะเลสาปไบคาล, Aliens under Lake Baikal
ทะเลสาปไบคาล ทำเลที่ตั้งอยู่ในเขตแดนของสหพันธรัฐรัสเซีย
เป็นอีกหนึ่งในสิ่งมหัสจรรย์ทางธรรมชาติที่น่าทึ่ง เพราะว่าเป็นทะเล
สาปน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นทะเลสาปน้ำจืดที่มีความลึก
มากที่สุดในโลก คะเนอายุของทะเลสาปน้ำจืดแห่งนี้มีอายุอยู่
ระหว่าง 25 - 30 ล้านปี ทะเลสาปทั่วโลกมีรวมกันประมาณ 117
ล้านทะเลสาป
ทำเลที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของแคว้นไซบีเรีย ซึ่งก็คือภาคเหนือ
ของทวีปเอเชียของเรานั่นเอง ส่วนที่ยาวที่สุดของทะเลสาปไบคา
ลอยู่ที่โดยประมาณ 700 กิโลเมตร(ประมาณกรุงเทพ - เชียงใหม่)
ในขณะที่ส่วนที่กว้างที่สุดของทะเลสาปอยู่ที่โดยประมาณ 80
กิโลเมตร(กรุงเทพ - เมืองชล) แต่ถ้าหากไปนับเส้นรอบวงของทั้ง
ทะเลสาปก็น่าจะโดยประมาณ 2,000 กิโลเมตร(ไปกลับเหนือสุดใต้
สุดเมืองไทย) จุดที่ลึกที่สุดของทะเลสาปไบคาลอยู่ที่ประมาณ
1,400 เมตร หรือ 1.4 กิโลเมตร
ทะเลสาปไบคาลเป็นทะเลสาปน้ำจืดที่เรียกว่ามนุษย์สามารถ
เข้าถึงได้มากที่สุด คือน้ำทั้งทะเลสาปน่าจะมีปริมาตรโดยประมาณ
23,000 ลูกบาศก์กิโลเมตร หรือก็คือเท่ากับน้ำทั้งหมดในทะเลสาป
Great Lakes ของทวีปอเมริกาเหนือเลย ก็คือโลกของเรานี้มีน้ำเค็ม
อยู่ทั้งหมด 97.5 เปอร์เซ็นต์(ซึ่งก็คือน้ำในทะเลและมหาสมุทรรวม
กัน) อีก 2.5 เปอร์เซ็นต์เป็นน้ำจืด
แต่ว่า 2.5 เปอร์เซ็นต์ที่เป็นน้ำจืดนั้น ส่วนใหญ่คนจะเข้าไม่ถึง
นั่นเป็นเพราะว่าจะเป็นน้ำที่อยู่ใต้ดินเรียกว่าน้ำบาดาล หรือก็จะเป็น
ก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ เช่น กราเซียร์ หรือภูเขาน้ำแข็งอยู่ตามขั้ว
โลกเหนือ ขั้วโลกใต้หรือตามภูเขาใหญ่ ๆ ที่เป็นแหล่งเก็บกักเช่น
เทือกเขาหิมาลัย หรือไม่เช่นนั้นก็อยู่ในรูปละอองน้ำที่อยู่ในอากาศ
เพราะฉะนั้นแล้วน้ำจืดที่คนจะเข้าถึงได้จะอยู่เพียงประมาณ 1
เปอร์เซ็นต์ของน้ำในก้อน 2.5 เปอร์เซ็นต์หรือพูดง่าย ๆ ก็คือน้ำจืดที่
คนนำมาใช้ได้นั้นคิดเป็นเพียงแค่ 0.025 เปอร์เซ็นต์ของน้ำทั้งโลก
เท่านั้นเอง
แต่ท่านจะเชื่อหรือไม่ว่า ในก้อน 0.025 เปอร์เซ็นต์ของน้ำ
จืดที่คนใช้กันทั่วโลกนี้ 20 เปอร์เซ็นต์ของน้ำก้อนนี้บรรจุอยู่ในทะเล
สาปไบคาลนี่เอง สัตว์ที่อยู่ใต้ทะเลสาปไบคาลประมาณ 3,800 สาย
พันธุ์ เป็นสายพันธุ์ที่ไม่สามารถพบเห็นได้ที่ทะเลสาปแห่งใดบนโลก
เรานี้อีก คือเป็นสายพันธุ์เฉพาะที่อยู่ใต้ทะเลสาปนี้
เดือน กรกฎาคม ค.ศ.2009 มีอดีตเจ้าหน้าที่ของกองทัพเรือของ
อดีตสหภาพโซเวียต ยอมเปิดเผยข้อมูลลับ
สุดยอดบางอย่างที่ดูแล้วน่าสนใจอยู่เหมือนกัน มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับ
สิ่งมีชีวิตบางอย่างที่ก็ไม่ทราบแน่ชัดว่าคืออะไรแน่ เผชิญหน้ากับ
เจ้าหน้าที่ทหารนักประดาน้ำ ก็คือในอดีตก่อนปี ค.ศ.1992 ในยุค
สมัยนั้นเป็นยุคของสหภาพโซเวียตซึ่งก็คือระบอบการปกครอง
คอมมิวนิสต์ ซึ่งเรื่องของสิ่งลึกลับ มนุษย์ต่างดาว UFO เป็นเรื่องที่
ไม่สามารถจะนำมาเปิดเผยได้
ค.ศ.1982 ณ แคว้นไซบีเรีย สถานที่ทะเลสาปไบคาล(ตาม
ข่าวแจ้งว่าอยู่ทางตอนเหนือของทะเลสาป) มีวงรอบการฝึกดำน้ำ
หรือการจู่โจมใต้น้ำตามปกติของมนุษย์กบทหารโซเวียต
ที่ความลึกประมาณ 50 เมตร(160 ฟุต) มนุษย์กบโซเวียตที่
อยู่ใต้น้ำพบว่ามีอะไรบางอย่างที่ระดับความลึกนั้น เคลื่อนที่อยู่รอบ
ๆ จากการสังเกตุอย่างละเอียดแล้วพบว่าเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่มี
ขนาดร่างกายที่ใหญ่มากพบเห็นหลายตน คะเนความสูงได้ประมาณ
3 เมตรทีเดียว ที่ระดับความลึกขนาดนี้และอุณหภูมิที่เย็นจัดขนาดนี้
สิ่งมีชีวิตที่พบเห็นตามร่างกายไม่มีเครื่องช่วยดำน้ำหรือเครื่องช่วย
ชีวิตใด ๆ ติดตัวเลย จากการสังเกตุก็คือสวมใส่ชุดที่ดูคล้าย ๆ โลหะ
สีเงิน ๆ ซึ่งเป็นชุดที่แนบติดกับลำตัว แต่ที่แปลกก็คือที่ศีรษะมี
อุปกรณ์อะไรบางอย่างครอบไว้อยู่ ดูอาจจะเป็นเครื่องช่วยหายใจ
หรือเครื่องช่วยชีวิตก็ไม่ทราบได้ ที่แปลกคือไม่พบเจอว่าสิ่งมีชีวิต
เหล่านี้มีถังอ็อกซิเจนติดตัวเลย ที่เห็นก็เป็นเพียงแค่อะไรบางอย่าง
ครอบศีรษะไว้ก็เท่านี้เอง
สิ่งมีชีวิตที่ว่านี้ทั้งหมดว่ายหนีไปในความมืด โดยไม่สนใจอะไร
ทั้งสิ้น ทหารมนุษย์กบจบภารกิจขึ้นมาบนผิวน้ำแล้วรายงานสิ่งที่
พบเห็นให้ผู้บังคับบัญชา ผู้บังคับการการฝึกให้ทราบ จากการได้รับ
รายงานผู้บังคับบัญชาสนใจและเชื่อกับคำบอกเล่าของทหารมนุษย์
กบกลุ่มนี้ จึงมีคำสั่งให้ตั้งทีมมนุษย์กบขึ้นมา 7 คน เพื่อจะได้ลงไป
สำรวจในวันรุ่งขึ้นและหากเป็นไปได้เพื่อที่จะพิสูจน์ความมีอยู่จริง
ของสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ ก็ให้ดำเนินการจับหรือควบคุมตัวขึ้นมาบน
ผิวน้ำ
ตรงนี้ไม่แน่ชัด แต่ฝรั่งผู้สันทัดกรณีกล่าวว่ามีความเป็นไปได้ว่า
ปฎิบัติการครั้งนี้ จะอยู่ภายใต้การกำกับหรือคำสั่งนายพลท่านนี้(เขา
ว่ามางั้น)
ทีมมนุษย์กบทั้ง 7 ถูกจัดตั้งขึ้นพร้อมทั้งอาวุธบางส่วนและ
อุปกรณ์ที่ใช้ในการจับ นั่นคือใช้ตาข่ายไปล้อมจับ แผนที่วางไว้ถู
กนำปฎิบัติจริง ทีมมนุษย์กบทั้ง 7 ได้ดำน้ำลงไปยังจุดที่พบเจอสิ่งมี
ชีวิตประหลาดอย่างช้า ๆ เนื่องจากระดับความลึกที่ค่อนข้างมากจึง
ต้องค่อย ๆ ปรับร่างกายให้เข้ากับความดันที่ระดับความลึกที่เปลี่ยน
ไปโดยดำน้ำลงไปอย่างช้า ๆ ซึ่งเมื่อถึงระดับความลึกที่เคยลงไปสิ่ง
ที่พบเจอก็ได้ถูกพบเห็นอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ก็ไม่รอช้าหนึ่งในทีม
มนุษย์กบได้นำตาข่ายออกมา เพื่อเตรียมความพร้อมในการล้อมจับ
ส.ต.
สิ่งมีชีวิตที่อยู่ใต้น้ำนี้มีหลายตน แต่ละตนมีความสูงเฉลี่ย 3
เมตร ถึงแม้จะมีมนุษย์กบที่เป็นคนมากถึง 7 คน มันก็ยังคงไม่ง่าย
อย่างที่คิดไว้ สิ่งที่มีชีวิตที่อยู่ใต้น้ำเหล่านี้ไม่นิยมในทฤษฎี ส.ต. แห่ง
ชาติ ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพราะว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้คงไม่ฉลาดน้อยที่จะ
เข้าไปอยู่ในตาข่ายโดยง่ายและก็คงไม่ประสงค์ที่จะขึ้นมาเดินย่ำเท้า
อยู่บนพื้นโลกด้วย
แล้วสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ก็เกิดขึ้น คือสิ่งมีชีวิตประหลาดเหล่านี้
ส่งพลังบางอย่างที่แรงมาก ๆ คล้ายกับคลื่นกระแทกเข้ามายังกลุ่ม
มนุษย์กบทั้ง 7 ที่กำลังใช้ความพยายามทำอะไรบางอย่างที่สุดจะงี่
เง่า จากคำบอกเล่าของเจ้าหน้าที่ที่ปฎิบัติอยู่เหนือผิวน้ำคือ เจ้า
หน้าที่มนุษย์กบทั้ง 7 ถูกพลังอะไรบางอย่างลึกลับ คล้าย ๆ กับ ส.ต.
ส่งมนุษย์กบทั้ง 7 ขึ้นมาจากใต้น้ำในเวลาที่น้อยมากเพียงไม่กี่วินาที
คือจากระดับความลึกประมาณ 160 ฟุตขึ้นมาอยู่เหนือผิวน้ำ โดยที่
มิได้มีการหยุดปรับระดับความดันร่างกายระหว่างทางที่ขึ้นมาจาก
ระดับ 160 ฟุตเลย เหตุการณ์ลักษณะนี้ภาษาอังกฤษเรียกว่า The
Bends
ก็คือว่าเมื่อท่านดำน้ำอยู่ในที่ลึก ๆ แรงดันของน้ำก็จะกดลงบนตัว
ท่าน อธิบายง่าย ก็คือน้ำหนักของน้ำที่อยู่เหนือตัวท่านศีรษะท่าน
ด้านบนจะกดลงมาบนร่างกาย ซึ่งมันจะขึ้นกับความลึก ถ้าหากลง
ไปที่ระดับความลึกยังไม่มากร่างกายก็จะยังคงรับแรงดันแรงกดไม่
มาก แต่ถ้าหากว่าลงไปที่ระดับความลึกมาก ๆ แน่นอนแรงดันแรง
กดของน้ำที่ลงมาที่ตัวท่านก็จะมากขึ้นไปด้วย
ตามกฎของบอยที่เคยเรียน ๆ กันมาตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย ความ
ดันและปริมาตรจะแปลผกผันกัน คือหากความดันมากขึ้นปริมาตรจะ
ลดลง หรือหากปริมาตรเพิ่มขึ้นความดันก็จะลดลง
ถังดำน้ำที่คนทั่ว ๆ ไปเรียกว่าถังอ๊อกซิเจน แท้จริงแล้วในถังไม่
ได้มีแต่ก๊าซอ๊อกซิเจนอย่างเดียว แต่จะประกอบไปด้วยก๊าซชนิด
ต่าง ๆ ตามภาพ(ด้านล่าง) ซึ่งพูดง่าย ๆ ก็คือเป็นก๊าซที่เป็นอากาศที่
เราหายใจที่ระดับน้ำทะเลนั่นเอง ซึ่งก๊าซที่ว่านี้จะมีก๊าซไนโตรเจน
เป็นองค์ประกอบมากที่สุด(ประมาณ 75 เปอร์เซ็นต์) ที่เหลือก็จะ
เป็นก๊าซอ็อกซิเจน, ก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์, ก๊าซอาร์กอน และ
ก๊าซอื่น ๆ
เมื่อความดันเพิ่มขึ้น ปริมาตรของก๊าซไนโตรเจนจะถูกบีบอัดให้อยู่
ชิดกัน ก๊าซไนโตรเจนที่ถูกสูดดมเข้าไปจะไปสะสมในร่างกายใน
เนื้อเยื่อต่าง ๆ
ซึ่งที่ถูกต้องแล้ว การจะขึ้นมาจากน้ำของนักประดาน้ำจำเป็นต้อง
ค่อย ๆ ปรับระดับความดัน คือต้องขึ้นมาอย่างช้า ๆ และที่ระดับ
ประมาณ 20 ฟุตก็ต้องหยุดเป็นเวลาชั่วขณะ(ประะมาณ 5
นาที)เพื่อให้ร่างกายปรับระดับความดันไล่ก๊าซไนโตรเจนที่สะสมอยู่
ในร่างกายให้ออกไปอย่างช้า ๆ แต่ถ้าหากว่าท่านไม่ทำตามขั้นตอน
นี้แล้วว่ายอย่างพรวดพราดขึ้นมาจากระดับลึก ๆ ขึ้นสู่ผิวน้ำโดย
ทันที ไนโตรเจนปริมาณมหาศาลที่สะสมในร่างกายในเนื้อเยื่อตอนที่
ท่านหายใจในที่ระดับความลึกมาก ๆ ก็จะออกจากร่างกายอย่างฉับ
พลันอันเป็นผลเนื่องจากการเปลี่ยนระดับความลึกของใต้ผิวน้ำมา
เป็นระดับปกติอย่างฉับพลัน ตรงนี้เป็นอันตรายต่อร่างกายได้ภาษา
อังกฤษเรียกว่า "The Bends" ซึ่งก็จะเป็นผลเป็นอันตรายมากแค่
ไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าท่านขึ้นมาจากความลึกระดับไหนและขึ้นมาเร็ว
เท่าไร ซึ่งวิธีการแก้ไขก็คงจะต้องเข้าไปในห้องปรับระดับความดัน
Recompression Chamber เพื่อปรับระดับความดันใหม่ให้อยู่ใน
ระดับความลึกเดิมแล้วค่อย ๆ ลดระดับอย่างช้า ๆ ค่อยเป็นค่อยไป
ตามคำบอกเล่าของเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือที่อยู่ที่ผิวน้ำ มนุษย์กบทั้ง
7 ขึ้นมาจากใต้น้ำระดับความลึก 160 ฟุตมาอยู่บนผิวน้ำไม่ใช่เพราะ
ว่าว่ายน้ำขึ้นมาเองอย่างรวดเร็วด้วยความตกใจ แต่ขึ้นมาอยู่บน
ผิวน้ำได้ก็เพราะมีพลังอะไรบางอย่าง ส่งขึ้นมา ซึ่งมันขึ้นมาอย่าง
รวดเร็วในเวลาเพียงไม่กี่วินาที ในกรณีเช่นนี้หากเป็นการจงใจว่าย
ขึ้นมาเองจากระดับความลึก 160 ฟุต โดยไม่ได้มีการหยุดพักหรือ
ปรับความดัน เพียงแค่นี้ก็เป็นอันตรายมากแล้วและก็คงจะต้องใช้
เวลานานเป็นหลายนาทีทีเดียวที่จะขึ้นมาถึงผิวน้ำได้ แต่นี่กลับขึ้นมา
ในเวลาที่รวดเร็วอย่างคาดไม่ถึง ฉะนั้นระดับความอันตรายก็ยิ่งเพิ่ม
ทวีคูณ
ที่ด้านบนทีมให้การช่วยเหลือเกิดความโกลาหล เนื่องจาก
มนุษย์กบทั้ง 7 มีอาการทางร่างกายอย่างเฉียบพลันจนอาจจะถึงแก่
ชีวิตได้ ซึ่งเวลานั้นสิ่งเดียวที่จะช่วยรักษาชีวิตมนุษย์กบทั้ง 7 ได้มี
เพียงสิ่งเดียวคือ Recompression Chamber ซึ่งในเวลานี้มีเพียง
ยูนิตเดียวและในแต่ละยูนิตก็สามารถบรรจุคนได้สูงสุดเพียงแค่ 2
คนเท่านั้น ก็ไม่มีทางเลือกอื่น ทีมเจ้าหน้าที่ที่ให้การช่วยเหลือตัดสิน
ใจดันคนที่ป่วยอาการหนักมาก ๆ ถึง 4 คนเข้าไป ผลสุดท้ายจาก 7
คนเสียชีวิต 3 คน ที่เหลือ 4 คน ทุพลภาพ
ภาพด้านล่างนี้ถูกบันทึกได้ที่ทะเลสาปไบคาล ถูกตีพิมพ์ลงใน
หนังสือพิมพ์ไซบีเรียนไทม์(Siberian Times) ในวันที่ 30 มีนาคม
ค.ศ.2015 เป็นภาพของ Cigar UFO ที่มีแสงสว่างในตัวเองบินอยู่
เหนือทะเลสาปไบคาล เรียกว่าเป็นภาพที่มีความคมชัดมาก ถูก
บันทึกได้โดยประชาชนในพื้นที่
ในอดีตเคยมีเจ้าหน้าที่ของกองทัพเรือสหภาพโซเวียต ชื่อ
Vladimir Azhazha ซึ่งก็น่าจะมีความสันทัดกับกรณีการประสบ
พบเห็นเหตุการณ์ในลักษณะนี้ คือการไปเจอกับวัตถุลึกลับที่อยู่ใต้
ผิวน้ำซึ่งไม่สามารถจำแนกชนิดหรือประเภทได้ ได้ให้ความเห็นไว้
ว่า แท้ที่จริงแล้ว วัตถุบินลึกลับที่มนุษย์บนโลกพบเจอกันที่บิน ๆ กัน
อยู่ในอากาศแล้วไปพบเห็นโดยบังเอิญหรือสามารถถ่ายภาพหรือ
บันทึกวีดีโอไว้ด้วย มันเป็นแค่ส่วนน้อยเท่านั้น เพราะว่าวัตถุบิน
ลึกลับที่พบเห็นเป็นส่วนใหญ่แล้วจะพบในส่วนที่มนุษย์เข้าไม่ถึง เช่น
มหาสมุทรใต้มหาสมุทร พบเจอมากถึง 50 เปอร์เซ็นต์หากเทียบกับ
ปริมาณรายงานการพบเห็นทั้งหมด อีก 15 เปอร์เซ็นต์พบเจอ
พบเห็นใต้ทะเลสาปลึก และส่วนที่เหลือก็คือในทางอื่น ๆ ซึ่งข้อมูลที่
ได้มาจากตรงนี้ก็ไม่ใช่ที่ไหนอื่น ก็มาจากกองกำลังของ NATO ที่
ประจำอยู่อยู่ในสถานที่ต่าง ๆ ทั่วโลกได้รายงานการพบเห็นกันเอา
ไว้ สถานที่ที่เจอ ๆ กันบ่อย ๆ อาทิเช่น ใกล้กับหมู่เกาะบาฮามัส, พบ
เจอทางตอนใต้ของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา, เขตแดนของประเทศ
เปอร์โตริโก้ ในส่วนของมหาสมุทรก็เช่นในจุดลึก ๆ ของมหาสมุทร
แอตแลนติก และทะเลคาริบเบียน
คนที่นำเรื่องนี้มาเปิดเผยคือ ดร.Alexey Tivanenko เป็นผู้
เชี่ยวชาญทางด้านประวัติศาสตร์ของโซเวียตในยุคสมัยนั้น
ซึ่งเรื่องสิ่งมีชีวิตประหลาดที่ทำให้มนุษย์กบประสบเหตุการณ์อัน
คาดไม่ถึงนี้จะเป็นไปได้ไหมว่าน่าจะมีคนหรือประชาชนที่อาศัยใน
บริเวณนั้นพบเห็นหรือเจอบ้าง เพื่อที่จะยืนยันถึงสิ่งที่ประสบว่าสิ่งมี
ชีวิตประหลาดนี้มีอยู่จริง ก็มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ ดร.Alexey ลองไป
สอบถามชาวประมงในแถบบริเวณทะเลสาปไบคาลดูว่า เคยมีใคร
พบเห็นสิ่งมีชีวิตลักษณะแปลก ๆ ในแถบนี้ไหม
มีชาวประมงคนหนึ่งที่เป็นชาวบ้านในพื้นที่ชื่อคุณ Nikolai
Kareev ยอมเปิดปากว่า เขาเคยพบเห็นสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะตามที่
ว่าจริง เรื่องก็มีอยู่ว่ามีคืนหนึ่ง คุณ Nikolai ออกไปตกปลากับเพื่อน
ในหมู่บ้านก็ในบริเวณทะเลสาปไบคาลนี้เองละ เพียงแต่ว่าจุดที่ไป
ตกปลาจุดนี้ เป็นจุดที่ค่อนข้างจะอันตราย คือมันเป็นเขตน้ำลึก เรียก
ได้ว่าลึกมากทีเดียวซึ่งหากว่าจมหรือตกลงไปแล้ว น่าจะช่วยกันยาก
หรือถึงขั้นไม่รอดชีวิตได้หากว่ายน้ำไม่แข็งจริง บริเวณนี้ภาษา
ราชการเรียกว่าเป็นจุด Circum - Baikal Railway
จุดจุดนี้ ห่างออกมาจากชายฝั่งไม่มากเลย แต่ว่ามันเป็นเหว คือ
ว่าความลึกจะลดลงอย่างฉับพลันแม้จะห่างจากชายฝั่งไม่มากนัก
ความลึกตรงจุดนี้ลึกถึง 1,400 เมตร หรือลึกลงไปกิโลเมตรครึ่งเลย
ทีเดียว เนื่องจากด้วยความลึกที่มาก น้ำในบริเวณนี้ก็จะเย็นจัดมาก
ถ้าหากเป็นอุณหภูมิของน้ำด้านล่างสุดแล้วเคยวัดได้ประมาณ 3
องศาเซลเซียส แต่น้ำด้านบนก็ยังคงเย็นจัดเช่นกันถึงแม้จะเป็นช่วง
ฤดูร้อนก็ตามแต่ ซึ่งหากคนธรรมดาหากมาตกน้ำตรงจุดนี้แล้ว ว่าย
น้ำไม่แข็ง ไม่สามารถว่ายเข้าไปหาฝั่งได้ทันแล้ว จะหมดสติเพราะ
ว่าความเย็นจัดของน้ำได้ ก็ประมาณเที่ยงคืนของคืนวันหนึ่ง คุณ
Nikolai และเพื่อนของเขา ได้ตกปลาอยู่บนเรืออย่างเงียบ ๆ อยู่ ๆ
ก็มีสิ่งมีชีวิตอะไรไม่ทราบได้ ขนาดใหญ่มาก รูปร่างคล้ายคน อยู่ใน
ชุดสีเงิน ๆ ดูคล้ายโลหะ กระโดดขึ้นมาจากน้ำเท่าที่เห็นก็มีหลายตน
อยู่ ดูคล้ายจะเล่นหรือหยอกกับคนที่ตกปลาอยู่ คุณ Nikolai เมื่อ
ตั้งสติได้ ก็เกิดความกลัว กลัวว่าสิ่งมีชีวิตประหลาดขนาดใหญ่ที่ว่า
นี้จะมีความพยายามที่จะมาจมเรือของเขาซึ่งก็เป็นเรือที่ไม่ใหญ่มาก
จึงตัดสินใจกับเพื่อนที่มาด้วยว่าควรจะรีบออกไปจากบริเวณนี้ให้เร็ว
ที่สุดก็ที่จะเกิดเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง ก็รีบร้อนที่จะเก็บอุปกรณ์จับ
ปลาขึ้นจากน้ำแล้วบึ่งเรือเข้าฝั่ง
ถ้าหากว่ามีสิ่งมีชีวิตประหลาดนอกโลก พำนักอยู่ใต้ทะเลสาปไบ
คาลแล้ว สิ่งมีชีวิตประหลาดนี้ก็ต้องมีการเดินทางเข้าออกทะเลสาป
ไบคาลตามเวลาและตามความจำเป็นของพวกเขา อย่างหลีกเลี่ยง
ไม่ได้ แต่ว่าทะเลสาปไบคาลอยู่ในเขตแดนที่หนาวมากโดยเฉพาะใน
ช่วงฤดูหนาวแล้ว น้ำในทะเลสาปจะกลายเป็นน้ำแข็งแทบจะทั้งหมด
ก็ว่าได้ ความหนามากที่สุดในช่วงฤดูหนาวจะอยู่ที่ความหนา
ประมาณ 7 ฟุต หรือ 2 เมตร
ใน ปี 2009 นักบินอวกาศบนสถานีอวกาศนานาชาติ สังเกตุเห็น
อะไรบางอย่างเป็นวงกลมสองจุดบริเวณที่เป็นที่ตั้งของทะเลสาปไบ
คาล ซึ่งในเวลานั้นเป็นฤดูหนาวของรัสเซีย น้ำในทะเลสาปกลาย
เป็นน้ำแข็งหมด วงกลมที่ว่านี้ใหญ่มากจนสามารถสังเกตุเห็นได้จาก
นอกโลก
มันดูคล้ายกับว่ามีอะไรบางอย่างพยายามเจาะน้ำแข็งลงไปหรือมิ
เช่นนั้นก็พยายามจะขึ้นมาจากใต้ทะเลสาปน้ำแข็งนี้ เพื่อออกไปสู่
อากาศ วงกลมประหลาดที่ว่านี้จะอยู่จากวันจนเป็นเดือน จนกระทั่ง
อากาศที่หนาวมากทำให้น้ำที่อยู่ในรูวงกลมนี้ กลายเป็นน้ำแข็งและ
ปิดรูวงกลมนี้ไปตามธรรมชาติ
ในปี 2010 ก็มีคณะนักวิทยาศาสตร์จากรัสเซีย มองโกเลีย และฝรั่ง
เศษ ตั้งทีมขึ้นมาเพื่อศึกษาปรากฎการณ์ประหลาดที่ว่านี้ ก็มีทฤษฎี
ที่จะนำมาอธิบายอาทิเช่น บริเวณตรงจุดนี้มีกระแสน้ำอุ่นเกิดขึ้น น้ำ
แข็งจึงเกิดการละลาย แต่ว่าตรงนี้ก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่า จุด
วงกลมบางจุดในบางปี เกิดในส่วนที่เป็นน้ำลึกมากของทะเลสาปซึ่ง
เป็นน้ำเย็นจัด บางทฤษฎีก็กล่าวว่าเกิดจากฟองอากาศที่ผุดขึ้นมา
จากในส่วนที่ลึกมากของทะเลสาป ทำให้น้ำไม่สามารถจับตัวเป็นน้ำ
แข็งได้ แต่ตรงนี้ก็มีข้อโต้แย้งเช่นกันว่าวงกลมที่ว่านี้ในบางปีไปเกิด
อยู่ในเขตน้ำตื้นหรือในส่วนที่ไม่ถึงกับลึกมากของทะเลสาป ซึ่ง
พิจารณาแล้วเป็นจุดที่ไม่น่าจะเกิดแก๊สสะสมขึ้นได้
สหพันธรัฐรัสเซียเป็นผินแผ่นดินที่ใหญ่มาก มีพื้นที่รวมกัน
มากกว่าราชอาณาจักรไทยเกือบ ๆ 33 เท่า ในอดีตครั้งที่ยังเป็น
สหภาพโซเวียตอยู่ สหภาพโซเวียตมีพื้นที่มากกว่าสาธารณรัฐ
ประชาชนจีนถึง 2.5 เท่า หรือมากกว่าประเทศไทย 50 เท่า ก็ด้วย
ความกว้างใหญ่ของผืนแผ่นดิน
เหตุการณ์แปลก ๆ เรื่องเล่าแปลก ๆ ประสบการณ์แปลก ๆ ที่คน
พบเห็นจึงมีมากมายนับไม่ถ้วน ซึ่งบางเหตุการณ์มันแปลกมากเสีย
จนไม่สามารถจะอธิบายหรือหาคำตอบได้ ก็อย่างเช่นเหตุการณ์ที่
กระผมได้เล่าไปในข้างต้น เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในผืนแผ่นดินของ
รัสเซียเช่นกันซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นสหภาพโซเวียต เหตุกาณ์นี้น่า
สนใจไม่น้อย
ทะเลสาป Titicaca
Unidentified Submerged Objects คำย่อ USOs หรือวัตถุลึกลับ
ใต้น้ำที่ไม่สามารถจำแนกประเภทหรือชนิดได้ ท่านทราบหรือไม่ว่า
เกือบ 95 เปอร์เซ็นต์ของสิ่งมีชีวิตบนโลกอยู่ใต้ท้องทะเลและ
มหาสมุทร ท่านทราบหรือไม่ว่าในมหาสมุทรที่ปริมาณทองคำมาก
พอที่จะให้กับมนุษย์บนโลกทุกคนเลยคนละประมาณ 9 ปอนด์ ท่าน
ทราบหรือไม่ว่าพื้นที่ของมหาสมุทรแปซิฟิค มีมากกว่าดวงจันทร์
ของโลกเราเสียอีก ท่านทราบหรือไม่ว่ามีคนบนโลกไปเหยียบดวง
จันทร์มากเสียกว่าลงไปยังจุดที่ลึกที่สุดของโลกเราเอง(เรียกจุดนี้ว่า
Mariana Trench) ท่านทราบหรือไม่ว่าวัตถุโบราณที่อยู่ใน
พิพิธภัณฑสถานรวมกันแล้วยังน้อยกว่าที่อยู่ในมหาสมุทรทั้งที่พบ
แล้วและยังไม่ค้นพบ ท่านทราบหรือไม่ว่าแผนที่บนดาวอังคารที่
มนุษย์ส่งยานสำรวจไปทำขึ้นยังมีความละเอียดมากเสียยิ่งกว่า
แผนที่มหาสมุทรบนโลกเราเองเสียอีก ซึ่งนั่นก็เป็นไปได้ว่าถ้าหากมี
สิ่งมีชีวิตจากนอกโลกมาเยือนโลกเราแล้ว จุดที่เหมาะสมที่สุดที่จะ
พำนักมันก็น่าจะเป็นพื้นน้ำใต้ล่างที่ลึก ๆ เพราะว่าปลอดภัย พรางตัว
ได้ดี ทั้งนี้ยังช่วยคุ้มภัยทำให้ปลอดภัยในกรณีที่เกิดภาวะรุนแรงบน
ผืนแผ่นดิน เช่นแผ่นดินไหว น้ำท่วม มลภาวะเป็นพิษอย่างรุนแรง
หรือสงครามอาวุธนิวเคลียร์จนอาจจะถึงขั้นทำให้เกิดการสูญพันธ์
ได้ ใต้ผืนน้ำอันยิ่งใหญ่นี้คือจุดที่ปลอดภัยที่สุดในการหลบภัยก็ว่า
ได้
ทะเลสาป Titicaca เป็นทะเลสาปน้ำจืดขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ใน
เขตแดนประเทศเปรู ติด
กับชายแดนของโบลิเวีย จัดเป็นทะเลสาปน้ำจืดที่อยู่สูงที่สุดบนโลก
บริเวณใต้ทะเลสาปแห่งนี้ ถูกตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับวัตถุลึกลับใต้ทะเล
สาป สงสัยแม้กระทั่งว่าด้านล่างของทะเลสาปแห่งนี้จะเป็นฐานทัพ
ของยูเอฟโอใต้ผืนน้ำ แม้แต่สถานที่เมืองโบราณในอดีตเช่น
Tiwanaku ก็ตั้งอยู่ในบริเวณที่ใกล้กับทะเลสาปแห่งนี้ เมือง
Tiwanaku นี้จัดเป็นอีกเมืองหนึ่งที่เรียกได้ว่าเก่าแก่ที่สุดบนโลกใบ
นี้ ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ของทะเลสาปแห่งนี้ ความเจริญ
ก้าวหน้าของเมืองนี้ในอดีต อาทิเช่น การเพาะปลูก ระบบ
ชลประทาน ความก้าวหน้าความรู้ทางด้านดาราศาสตร์และสิ่ง
ก่อสร้างอันแปลกและยิ่งใหญ่ปรากฎอยู่ในเมืองโบราณแห่งนี้ ถึงขั้น
สงสัยว่าจะเป็นไปได้ไหมว่ามีสิ่งมีชีวิตที่มีความชาญฉลาดมา
ถ่ายทอดวิชาการเหล่านี้ให้กับคนในพื้นที่นี้ในอดีต มีความน่าสนใจ
อย่างหนึ่งที่ผมดูแล้วน่าสนใจมาก ๆ เพราะว่าคลิปวีดีโอลักษณะนี้หา
ดูได้ยากยิ่ง มันเป็นคลิปวีดีโอของวัตถุลึกลับใต้น้ำที่ถูกบันทึกไว้ได้
ปกติแล้วถ้าเป็นเรื่องเล่าของวัตถุลึกลับใต้น้ำแล้ว มีเรื่องเล่าที่เยอะ
มากหาอ่านได้ทั่ว ๆ ไปในเนต แต่ถ้าหากว่าจะเป็นคลิปวีดีโอ ซึ่งเป็น
คลิปวีดีโอจริง ๆ ไม่ใช่คลิปที่คนประสบนำมาเล่าต่อแล้ว หาดูได้ยาก
มากครับ(ถ้าไม่เชื่อท่านลองค้นหาดูได้เลย) จะใช้ความพยายามหา
ดูจะหาได้ยากกว่าวัตถุบินลึกลับที่บินอยู่บนท้องฟ้า คลิป ๆ นี้ถูก
บันทึกได้โดยนักท่องเที่ยวชาวอิตาเลียน เมื่อปี 2013 วันที่ 3
สิงหาคม เวลาโดยประมาณ 14.20 น. คนที่บันทึกได้ชื่อ
L.F.Mostajo Maertens ก็อยากจะให้ท่านชมคลิปนี้ดูครับ มันเป็น
วัตถุบางอย่างที่เคลื่อนที่อยู่ใต้น้ำ บันทึกได้ชัดเจนมาก วัตถุนี้น่าจะ
อยู่ในระดับที่ไม่ลึกมาก ลักษณะเป็นวงกลม จุดที่น่าสังเกตุคือมันมี
เรือลำหนึ่งที่จอดอยู่(ด้านขวามือของในคลิปนี้) เรือลำนี้จอดอยู่นิ่ง ๆ
แต่วัตถุประหลาดใต้น้ำนี้เคลื่อนที่ได้และเคลื่อนที่ห่างจากเรือลำนี้
ออกไปทางซ้ายมือเรื่อย ๆ ซึ่งไม่ใช่ฝูงปลาอย่างแน่นอน สุดท้าย
วัตถุประหลาดนี้ก็ดำหายไปจากสายตาคนบันทึก
นำภาพนี้มาทำการปรับแต่งความต่างของสีให้ดูชัดเจนอีกครั้ง จะ
พบว่าวัตถุนี้มีรูปร่างเป็นทรงกลม
Voronezh UFO Incident
หน่วยข่าวกรองของประเทศมหาอำนาจ ได้จำแนกให้ความเห็น
ว่ามนุษย์ต่างดาวที่มาเยือนโลกของเรานี้ไม่ได้มีแค่สายพันธุ์เดียว
แต่มีเป็นสิบสายพันธุ์ทีเดียว เท่าที่จะสืบค้น หาประวัติ และจาก
ประสบการณ์ของผู้ที่พบเจอได้ให้การไว้ สาเหตุที่ไม่สามารถชี้แจง
แจ้งให้คนบนโลกทราบได้ก็เกรงว่าจะทำให้เกิดการตื่นตระหนก
ขนาดใหญ่ ซึ่งคงจะไม่เหมาะเป็นอย่างยิ่ง มันเป็นไปได้ว่าจะเกิดการ
จลาจลครั้งใหญ่หรือหนักกว่านั้นถึงขั้นล่มสลายของอารยธรรมของ
มวลมนุษย์ชาติได้ มนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์หนึ่งที่ทางหน่วยข่าว
กรองได้เคยจำแนกไว้และให้รายละเอียดบางส่วนไปกับ
ประธานาธิบดีคนหนึ่งของสหรัฐฯ คือคุณโรนัล เรแกน จะเป็นมนุษย์
ต่างดาวที่เรียกว่าแปลกมาก คือ ไม่ได้อยู่ในรูปสิ่งมีชีวิตมีเลือดเนื้อ
เหมือนคนทั่ว ๆ ไป แต่จะอยู่ในรูปของเครื่องจักร เครื่องกล สิ่งที่
แปลกกว่านั้นคือมันเป็นเครื่องจักรเครื่องกลที่สามารถจะคิด
พิจารณา และตัดสินใจได้เองคือแทบจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตชนิด
หนึ่ีงก็ว่าได้ ตรงนี้อาจจะฟังดูเป็นเรื่องตลกขบขันหรือเรื่องที่ไม่น่าจะ
มีอยู่จริง แต่มีเหตุการณ์หนึ่งที่พอจะยืนยันได้ว่าสิ่งที่ฟังดูไม่น่าจะมี
อยู่จริง แท้จริงแล้วอาจจะสรุปเช่นนั้นไม่ได้ เพราะว่ามันมีอยู่จริง
และมีประจักรพยานพบเห็นมากพอสมควร(40 - 100 คน)
เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตเมื่อครั้งที่ประเทศรัสเซีย
และประเทศบริวารยังอยู่รวมกันเป็นสหภาพโซเวียต เหตุการณ์ที่ว่า
นี้เกิดขึ้นในเขตแดนของสหภาพโซเวียต วันที่ 27 กันยายน
ค.ศ.1989 เวลาท้องถิ่นโดยประมาณ 18.30 - 19.00 น. สถานที่
เกิดเหตุคือเมือง Voronezh ห่างจากกรุงมอสโคเมืองหลวงของ
สหภาพโซเวียตไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 300 ไมล์ เกิดขึ้น
ในสวนสาธารณ Yuzhny
เรื่อง ๆ นี้ถูกรายงานโดยสำนักข่าว TASS(Telegraph Agency
of the Soviet Union) เมือง Voronezh เมืองนี้ในอดีตที่เกิดเรื่องนี้
ขึ้นมามีประชากรเกือบ 1 ล้านคน ก็เป็นเมืองธรรมดาที่เงียบสงบ
เมืองหนึ่ง ตอนเวลาประมาณ 18.30 น. มีคนในสวนสาธารณแห่งนี้
มองเห็นแสงสว่างปรากฎขึ้นบนท้องฟ้า ลักษณะเป็นแสงไฟลูกทรง
ไข่(Ovoid Object) สีออกชมพู ซึ่งสีของแสงไฟนี้ก็เข้มขึ้นเรื่อย ๆ
และดูเหมือนจะลอยต่ำลงมาเรื่อย ๆ เช่นกัน คะเนด้วยสายตาน่าจะมี
ความกว้างโดยประมาณ 45 ฟุตและสูงประมาณ 18 ฟุต และก็ลอย
วนเวียนไปมาบริเวณเหนือสวนสาธารณแห่งนี้ ผู้เห็นเหตุการณ์กล่าว
ว่าความสูงที่วัตถุประหลาดนี้ลอยอยู่ไม่ได้อยู่สูงมากนักน่าจะโดย
ประมาณ 40 ฟุตเหนือพื้นดิน คือใกล้กับพื้นจนใบไม้ใบหญ้าปลิวเลย
จากนั้นก็บินหายไปไหนไม่รู้ ก็ไม่น่าจะกี่นาทีถัดมาวัตถุนี้บินกลับ
มายังจุดเดิมอีกที มาลอยอยู่เหนือบริเวณใกล้กับสนามเด็กเล่น ซึ่ง
ตอนนั้นเป็นเวลาเย็นก็มีเด็ก ๆ เล่นกันอยู่สนามนี้ประมาณ 5 คน มี
รายชื่อดังนี้ Vasya Surin, Julia Sholokhova, Lena Sarokina,
Alyosha Nikonov และ Vova Startsev
เด็กกลุ่มนี้จับกลุ่มเล่นฟุตบอลกันอยู่ก็ไม่เพียงเท่านี้ บริเวณนี้มี
ผู้ใหญ่อีกไม่น่าจะน้อยกว่า 40 คน ยืนรอรถประจำทางอยู่เช่นกันก็
มองเห็นเหตุการณ์นี้ด้วย แต่เด็กกลุ่มนี้จะอยู่ใกล้กับเหตุการณ์
มากกว่าคือมันอยู่เหนือศีรษะพอดี ตอนนี้วัตถุประหลาดนี้ยังไม่ได้ลง
จอดแต่ว่าบานประตูของวัตถุนี้เปิดออกมา สิ่งที่มองเห็นเด็กที่เห็น
เหตุการณ์อธิบายว่ามีลักษณะดังนี้
คือเป็นตัวอะไรก็ไม่ทราบได้มีขนาดใหญ่มาก อ้วนเทอะทะและสูง
มาก มีตาสามตาสองตาเป็นสีขาวส่วนตาที่สามอยู่เหนือระหว่างสอง
ตาล่างมีสีแดงกลิ้งกลอกไปมาคล้ายเรดาห์ ศีรษะกลม ๆ แต่ไม่ใหญ่
มากนักคล้ายหมวก ไม่มีคอ แขนยาว จากนั้นบานประตูของวัตถุ
ประหลาดนี้ปิดลง จากนั้นวัตถุประหลาดที่ว่านี้ก็ค่อย ๆ ลอยลงมา
เพื่อจอด ซึ่งบริเวณที่วัตถุประหลาดนี้กำลังจะจอดมีต้นไม้ประจำถิ่น
อยู่ประมาณสองต้นบริเวณนั้น เรียกต้น Poplar ต้นไม้นี้ลักษณะก็จะ
เป็นไปตามภาพคือเมื่อโตเต็มที่มันจะขึ้นไปตรง ๆ ตามภาพและ
เป็นต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่พอควร
บางส่วนของต้น Poplar ที่วัตถุนี้กำลังจะลงจอดไปครูดหรือ
เกี่ยวหรือไปแถไปพันกับวัตถุประหลาดนี้ ก็คงจะด้วยความหนักของ
วัตถุประหลาดนี้ทำให้ต้น Poplar ต้นนี้ถึงกับเอียงทีเดียว
ภาพด้านล่างนี้ถ่ายบริเวณที่ต้น Poplar นี้ถูกครูดด้วยวัตถุ
ประหลาด ก็ถ่ายภาพไว้หลังจากเหตุการณ์ผ่านไปสักสองสัปดาห์จะ
เห็นว่าต้น Poplar ต้นนี้ไม่ตรงแล้ว มันเหมือนจะเอียง ๆ มาทางซ้าย
มือ(ถ้ามองเข้าไปตรง ๆ) ก็เข้าใจว่าวัตถุประหลาดนี้น่าจะมาครูด
บริเวณซ้ายมือของต้น(ถ้ามองเข้าไปตรง ๆ) แล้วน้ำหนักของวัตถุก็
กดลงมา ต้น Poplar ต้นนี้จึงไม่ตั้งตรง 90 องศาเหมือนต้นอื่น ๆ ที่
อยู่รอบ ๆ แต่ดูเหมือนมันจะเอนไปคือลำต้นออกลักษณะตั้งเฉียง ๆ
ประมาณ 60 องศา ภาพด้านล่างนี้ถูกถ่ายไว้เมื่อ 17 ตุลาคม
ค.ศ.1989หลังจากเหตุการณ์การลงจอด
วัตถุประหลาดที่ว่านี้สุดท้ายลอยลงมาถึงประมาณ 4-5 ฟุตเหนือ
พื้นดินบริเวณนั้น จากนั้นก็มีขาของเครื่องโผล่ออกมายันพื้น 4 ขา
เพื่อรองรับการจอด ตอนที่ยูเอฟโอลงจอดมีเด็กคนหนึ่งปืนขึ้นไปบน
ต้นไม้(ต้น Birch)เพื่อดูเหตุการณ์ให้ชัดเจน ตรงนี้ในภายหลังจึงพอ
จะประมาณความสูงของยูเอฟโอลำนี้ได้
ภายหลังมาสำรวจจุดทั้งสี่จุดที่ขาของยูเอฟโอลำนี้ลงจอดให้
ละเอียดอีกครั้ง พบว่าดินบริเวณนี้ไม่ใช่ดินอ่อน เป็นดินที่แข็งพอ
ประมาณ สังเกตุว่าถ้าเท้าคนธรรมดาไปเดินรอบ ๆ รอยจิกนี้จะไม่สา
มารถปรากฎรอยเท้าของคนได้เพราะว่าน้ำหนักของคนไม่มากพอที่
จะทำให้เกิดรอยจิกลึกลงไปในดินได้ รอยจิกแต่ละรอยเป็นรูป
วงกลมเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 20 เซ็นติเมตร รอยจิกทั้งสี่รอย
หากวาดเป็นภาพแล้ว จะได้เป็นภาพของสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ซึ่ง
จากการประมาณน้ำหนักของวัตถุที่จะจิกให้เกิดรอยทั้งสี่ขึ้นมาได้นี้
น่าจะต้องมีน้ำหนักโดยประมาณ 11 ตัน
ภายหลังการจอดประตูเปิดออกอีกครั้ง คราวนี้สิ่งมีชีวิต
ประหลาดที่เด็กมองเห็นได้เดินออกมาจากวัตถุประหลาดนี้ ทำให้
มองเห็นว่าสิ่งมีชีวิตประหลาดนี้มีขนาดที่ใหญ่มหึมาทีเดียว คะเน
ความสูงได้ประมาณ 9 ฟุต(หรือเกือบ ๆ สามเมตร) สวมใส่ชุดสีเงิน
ที่หน้าอกมีสัญลักษณ์บางอย่างกลม ๆ เท้าใส่รองเท้าบูท รูปร่าง
คล้ายมนุษย์ ตามข่าวที่ได้มา
ตอนลงมาจากเครื่องไม่ได้ลงมาแค่ตนเดียว แต่ลงมาประมาณ 2 - 3
ตน เพื่อเดินสำรวจบริเวณที่เด็กกำลังเล่นอยู่ แต่ที่แปลกอีกอย่างก็
คือมันมีอะไรบางอย่างเดินลงมาด้วย เป็นกล่องสี่เหลี่ยมดูคล้าย ๆ
หุ่นยนต์แต่เดินได้(ผู้เห็นเหตุการณ์เรียก Box-like Robot)
สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ดูคล้ายกับไปยุ่งหรือไปกดปุ่มหรือทำ
อะไรบางอย่างกับกล่องหุ่นยนต์นี้ ทำให้กล่องหุ่นยนต์นี้ขยับเดินได้
ทั้งสามเดินไปเดินมาสำรวจพื้นที่บริเวณนี้ และดูเหมือนกับพยายาม
จะเก็บตัวอย่างดินบริเวณนี้ไป ตอนที่เดินผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่ามันมี
เสียงดังออกมาจากสิ่งมีชีวิตประหลาดด้วยแต่ฟังไม่ออกว่าเป็น
ภาษาอะไร ที่หน้าอกของสิ่งมีชีวิตประหลาดนี้ดูเหมือนจะเป็น
อุปกรณ์สื่อสารบางอย่างที่ใช้สื่อสารกันระหว่างพวกเขา เพราะว่ามัน
กระพริบ ๆ คล้าย ๆ จะเป็นการสื่อสาร ตามข่าวคือสิ่งมีชีวิตกลุ่มนี้พา
กันเดินสำรวจคล้าย ๆ กับจะหาหรือเก็บอะไรบางอย่าง
สุดท้ายดูเหมือนจะมีคนแถว ๆ นั้นคนหนึ่งทนไม่ไหว ตะโกนหรือ
ร้องเสียงดังออกมา และตามข่าวคล้าย ๆ กับว่าจะมีเด็กหนุ่มคนหนึ่ง
อายุประมาณ 16 ปี ไปขวางทางการเดินของสิ่งมีชีวิตประหลาดนี้
เข้า หรือพยายามจะบุกรุกเข้าไปในยูเอฟโอที่จอดอยู่ หรือพยายาม
จะไปกระโดดเข้าล็อกขา กระโดดขึ้นหลัง หรือมีความพยายาม
จะทำอะไรบางอย่างออกมาก็ไม่ทราบได้ ถูกสิ่งมีชีวิตประหลาดคน
หนึ่งใช้แท่งบางอย่างซึ่งก็ไม่ทราบว่าเป็นอะไร ยาวประมาณ 2 ฟุต
ชี้มาที่เด็กหนุ่มคนนี้
มีลำแสงประหลาดออกมาจากแท่งประหลาดนี้แล้วสิ่งที่น่า
ตกใจที่สุดคือ เด็กหนุ่มคนนี้หายไปจากบริเวณนี้อย่างไร้ร่องรอย
จากนั้นสิ่งมีชีวิตประหลาดทั้งหมดก็เดินกลับไปยังยานพาหนะของ
ตนแล้ว ถอนเครื่องค้ำยันและบินหนีจากไปอย่างไร้ร่องรอย ก็ภาย
หลังจากที่ยูเอฟโอลำนี้บินจากไป เด็กหนุ่มอายุ 16 ปีคนนี้ก็ปรากฎ
กายกลับมายืนอยู่ที่เดิมที่ที่หายไปนั่นเอง เข้าไปสอบถามตอนที่โดน
แสงส่องมาโดนร่างกายว่าคุณหายไปไหนเกิดอะไรขึ้น เขาตอบว่าจำ
อะไรไม่ได้เลย
เหตุการณ์นี้ฟังดูคล้ายกับเป็นเรื่องขำขันเรื่องหนึ่ง แต่เรื่องนี้ใน
ภายหลังที่เกิดเหตุการณ์ได้ถูกเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหภาพ
โซเวียตขณะนั้นตรวจสอบอย่างละเอียด
บริเวณที่ยูเอฟโอลงจอดนี้ตามภาพด้านล่างจะเป็นตรงที่ลูกศรชี้
ก็ถ่ายภาพไว้ตอนฤดูหนาวในปีนั้น ผ่านไปประมาณสองเดือน
ภาพด้านล่างนี้อยู่ในเมือง Voronezh หลังจากเหตุการณ์การลง
จอดนี้ผ่านไปน่าจะสองสัปดาห์ถึงหลายเดือน มีคนถ่ายภาพวัตถุ
ประหลาดบนท้องฟ้าไว้ได้
ภายหลังเหตุการณ์นี้ผ่านไป และเป็นข่าวโด่งดังไปในหลาย
สำนักสุดท้ายมีนักข่าวญี่ปุ่นเข้ามาหาข่าวที่เกิดขึ้น
เป็นข่าวโด่งดังไปในหลายประเทศ ทั้งในเครือสหภาพโซเวียตเอง
สหรัฐอเมริกาและทั่วโลก
ถึงขนาดมีบริษัทญี่ปุ่นบริษัทหนึ่ง นำต้นแบบของสิ่งมีชีวิตที่เด็ก
เหล่านี้พบเห็น อธิบายและวาดไว้ไปออกแบบผลิตภัณฑ์ของเด็กเล่น
แล้วนำออกจำหน่าย ผมดูเหมือนจะมีหลายบริษัทด้วยซ้ำไปที่นำ
model นี้ไปผลิตและก็ทุกวันนี้ดูเหมือนจะยังมีจำหน่ายกันอยู่
Cosmic Revenge
เรื่องบางเรื่องเหลือที่จะเชื่อได้ว่ามีจริง แต่ไม่ว่าเรื่องนี้จะมีจริงหรือ
ไม่ เรื่องนี้มันเข้าไปอยู่ในสารบบของคุณพ่อ CIA ที่เปิดให้คนทั่ว ๆ
ไปสามารถค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ได้ สารบบลักษณะนี้แล้ว ถ้าข้อมูลที่
ได้มาไม่มีมูลจริง ก็คงจะยากเหมือนกันที่จะเข้ามาอยู่ในสารบบการ
สืบค้นของเขาได้ ก็อยากจะให้ท่านเข้าไปดูตามลิงค์ด้านล่างนี้ครับ
ให้คลิกไปที่ลิงค์นี้
https://www.cia.gov/readingroom/document/0005517761
แล้วท่านจะเจอกับหน้าหน้านี้
ซึ่งที่หน้านี้ให้ท่านคลิกไปที่
มันจะปรากฎเอกสารฉบับหนึ่งขึ้นมา
ตามเอกสารฉบับนี้ คือเหตุการณ์ที่เหลือจะเชื่อเข้าไปได้ แต่เกิด
ขึ้นในเขตแดนของรัสเซีย(ปัจจุบัน) เกิดขึ้นในฤดูหนาวปี
ค.ศ.1993(จากการสืบค้นคือวันที่ 27 มีนาคม เป็นช่วงปลายฤดู
หนาว) สถานที่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นอยู่ในเขตที่เรียกว่า ไซบีเรีย ก็คือ
จะเป็นตะวันออกไกลของรัสเซียหรือภาคเหนือของทวีปเอเชียของ
เรา เอกสารต้นฉบับจริง ๆ ของมันเท่าที่บอกเล่ากันมามีประมาณ
250 หน้าซึ่งค่่อนข้างมีรายละเอียดมาก แต่เนื่องจากเป็นเอกสารลับ
ของทางรัสเซียการนำออกมาเปิดเผยก็คงจะยากอยู่ ซึ่งเหตุการณ์นี้
ถูกนำมาเปิดเผยก็เนื่องจากศัตรูตลอดกาลของรัสเซียคือทาง
ประเทศยูเครนโดยหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งนำมาออกเผยแพร่โดยอ้าง
ว่าได้รับข้อมูลมาจากแหล่งวงในที่มีเอกสาร KGB หรือหน่วยข่าว
กรองกลางของรัสเซีย
เหตุการณ์นี้ก็คือมีทหารจากกองพันกองพันหนึ่ง ทำการฝึกปฎิบัติ
ในภาคสนามโดยปล่อยให้ออกไปสู่เขตป่าลึกในแคว้นไซบีเรียของ
รัสเซีย ในขณะที่เดินเข้าในเขตป่าลึก ทหารกลุ่มนี้ไปพบเจอกับ
อะไรบางอย่างที่ไม่สามารถจะอธิบายได้ สิ่งที่เจอคือวัตถุประหลาด
บางอย่างมีลักษณะกลมแต่ลอยอยู่บนท้องฟ้า เหนือพื้นดินน่าจะไม่
มากจนเกินไปนัก คือน่าจะสูงกว่าต้นไม้ ไม่ถึงกับสูงจนถึงระดับการ
บินของเครื่องบิน
จากการประเมินแล้ว วัตถุที่เห็นนี้น่าจะไม่เป็นมิตรหรือจะเป็นอะไรก็
ไม่สามารถทราบได้ หนึ่งในทหารกลุ่มนี้ตัดสินใจ ใช้อาวูธประจำ
กายที่พกติดตัวมาด้วย คือขีปนาวุธจากพื้นสู่อากาศ ยิงไปยังวัตถุ
ประหลาดลำที่ว่านี้ ก็ได้ผล จรวดจากพื้นสู่อากาศปะทะเข้ากับวัตถุ
ประหลาดนี้อย่างจัง ถึงกับทำให้วัตถุประหลาดลำนี้หมุนเควี้ยงอยู่
กลางอากาศอย่างชนิดที่ควบคุมทิศทางไม่ได้นานหลายวินาทีจน
สุดท้ายตกลงมายังพื้นโลก ทหารกลุ่มนี้ไม่รอช้า กระจายกำลังเข้า
อารักขาพื้นที่ที่เกิดเหตุโดยทันที สิ่งที่พบคือมีสิ่งมีชีวิตรูปร่าง
ประหลาดนับรวมกันได้ถึง 5 ตน ออกมาจากยานพาหนะประหลาด
ลำนี้
จากคำบอกเล่าของทหารที่รอดชีวิตมา สิ่งมีชีวิตที่เห็นนี้มี
ขนาดไม่ใหญ่นัก รูปร่างประมาณเท่ากับเด็กโต มีศีรษะที่ใหญ่มาก
และดวงตากลมโต แขนยาวผิดรูป สองในห้าของทหารกลุ่มนี้เดิน
เข้าไปยังสิ่งมีชีวิตประหลาดทั้งห้าพร้อมทั้งยกปืนขึ้นขู่ ออกคำสั่งให้
ยอมจำนน แต่แทนที่สิ่งมีชีวิตกลุ่มนี้จะยอมจำนน หรือจะด้วยฟัง
ภาษากันไม่ออก สิ่งมีชีวิทั้งห้านี้ได้เข้ารวมกลุ่มกัน แล้วก็ด้วยอะไร
ไม่ทราบได้ได้มีแสงบางอย่างออกมาจากสิ่งมีชีวิตประหลาดกลุ่มนี้
โดยถูกยิงมายังทหารทั้งสองนาย การยิงยังเพิ่มขึ้นไปยังกลุ่มทหาร
กลุ่มนี้อีกหลายคน การยิงนี้ถึงกับทำให้ทหารคนที่ถูกอาวุธ
ประหลาดนี้เข้าถึงกับหยุดชะงักและยืนแข็งไปเฉย ๆ สุดท้ายมีทหาร
อยู่สองนายที่เห็นทีท่าไม่ดีรีบหลบเข้าที่กำบังก่อน เพื่อประเมิน
สถานการณ์ สุดท้ายตัดสินใจวิ่งฝ่าหิมะไปยังกองพันเพื่อเรียกกำลัง
เสริมมาช่วยตรวจสอบสิ่งที่เกิดขึ้นในจุดที่เกิดเหตุนี้
ในส่วนของการโจมตีของสิ่งมีชีวิตประหลาดทั้งห้านี้ มีบาง
แหล่งข่าวเล่าต่างไปว่า สิ่งมีชีวิตประหลาดทั้งห้านี้เข้ารวมตัวกันจับ
เป็นกลุ่ม จากนั้นก็มีลูกกลมไฟสว่าง ๆ ปรากฎขึ้นมาในกลุ่มของสิ่งมี
ชีวิตประหลาดนี้ ลูกกลมไฟนี้ได้พุ่งตรงเข้าไปยังกลุ่มทหารกลุ่มนี้
และระเบิดออกอย่างรุนแรง เว้นแต่มีทหารแค่สองคนในกลุ่มที่หลบ
เข้าที่กำบังทันเวลาพอดี
กองพันของทหารกลุ่มนี้ทราบข่าวดังกล่าวเข้า ได้ส่งกำลัง
จำนวนมากมายังจุดเกิดเหตุนี้พร้อมกับทหารทั้งสองนายที่รอดชีวิต
จากเหตุการณ์นี้ มาพร้อมกับอาวุธเบาอาวุธหนักและเฮลิคอปเตอร์
ลำเลียง เฮลิคอปเตอร์ต่อสู้ รวมทั้งยานพาหนะทางบกอีกหลายคัน
สิ่งที่พบในที่เกิดเหตุขณะนั้นคือสิ่งมีชีวิตประหลาดทั้งห้า รวมทั้ง
ยานพาหนะประหลาดที่หล่นลงมาสู่พื้นได้หายไปแล้ว แต่สิ่งที่น่าสะ
พรึงกลัวที่สุดคือ ทหารกลุ่มนี้นับได้ทั้งสิ้น 23 นาย ตอนนี้ได้กลาย
เป็นก้อนหินหรืออาจจะเรียกว่าเสาหินก็ได้(แหล่งข่าวใช้คำว่า stone
poles) ยืนเรียงรายอยู่ในที่เกิดเหตุ ฟังไม่ผิดครับ ก้อนหิน หรือแท่ง
วัตถุอะไรก็ไม่ทราบได้ แต่ที่แน่นอนที่สุดคือก้อนหินหรือแท่งหินที่นับ
ได้ 23 แท่งนี้ คือคนเป็น ๆ ที่ถูกอาวุธบางอย่างที่ไม่สามารถระบุได้
ทำให้เสียสภาพจากสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่มีเลือดเนื้อกลายเป็นแท่ง
หินไป นับได้ 23 แท่งหินหรือก็คือ 23 นายทหารที่ต้องเสียชีวิตใน
เหตุการณ์นี้นั่นเอง
ตรงจุดนี้บางแหล่งข่าวระบุว่ายูเอฟโอลำที่ตกลงมาซึ่งได้รับความ
เสียหายยังคงปรากฎอยูในที่เกิดเหตุ เพียงแต่สิ่งมีชีวิตประหลาดทั้ง
5 ได้หายไปจากสถานที่แห่งนั้น จุดนี้ยังคงเป็นที่สงสัยเช่นกัน แต่ที่
ไม่ต้องสงสัยคือการเสียชีวิตของทหารทั้ง 23 นาย ตรงนี้สรุปตรง
กันว่ามีการเสียชีวิตจริง ซึ่งเสียชีวิตในลักษณะที่เรียกว่าแปลกมาก
เหตุการณ์นี้ทำให้หน่วยข่าวกรองกลางของรัสเซีย เข้าทำการ
ตรวจสอบ เรื่อง ๆ นี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องถูกปิดเป็นความลับขั้น
สุด แท่งหินนายทหารทั้ง 23 นาย ถูกลำเลียงส่งไปยังห้องปฎิบัติการ
ทางวิทยาศาสตร์ชานกรุงมอสโค เมืองหลวงของรัสเซียเพื่อทำการ
ตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง ทั้งแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ที่เข้า
ทำการตรวจสอบแท่งหินทั้ง 23 แท่งหินนี้จนปัญญาที่จะอธิบายถึง
องค์ประกอบของแท่งหินนี้ว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ด้วยสารอะไร
หรืออาวุธชนิดใดที่เคยรู้จัก องค์ประกอบของแท่งหินทั้งหมดดูคล้าย
หินปูนหรือแร่บางอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน ผลการชันสูตรระบุไว้
เป็นภาษาอังกฤษว่า'a substance whose molecular
composition is no different to that of limestone'.แต่ที่ไม่
ตลกก็คือแท่งหินทั้ง 23 นี้ ครั้งหนึ่งเคยเป็นคนจริง ๆ และก็ยังไม่รู้
เช่นกันว่าจะไปอธิบายกับญาติพี่น้องของนายทหารทั้ง 23 คน ว่า
บุคคลทั้ง 23 เสียชีวิตด้วยอะไร
ความน่าสนใจอย่างหนึ่งก็คือ เหตุการณ์ของยูเอโอและมนุษย์
ต่างดาวที่เกิดขึ้นในเขตแดนของโซเวียตหรือรัสเซียในปัจจุบัน มัก
จะมีผู้คนพบเห็นหรือเกี่ยวข้องจำนวนมากในเหตุการณ์นั้น ๆ ไม่
เหมือนกับการพบเจอในพื้นที่อื่น ๆ หรือในสหรัฐอเมริกาเอง ซึ่งมัก
จะเห็นแบบเป็นรายบุคคล หรืออย่างมากก็อาจจะมีคนอยู่ใน
เหตุการณ์ไม่เกิน 3 คน ซึ่งตรงจุดนี้ก็เลยเป็นอีกช่องทางหนึ่งใน
เหตุการณ์ยูเอฟโอในรัสเซียหรือในสหภาพโซเวียดหลุดรอดออกมา
ได้ถึงแม้จะพยายามปิดให้ดีสักแค่ไหน เนื่องด้วยว่ามีคนอยู่ใน
เหตุการณ์จำนวนมาก ยากเหมือนกันที่จะนำมือไปปิดปากคนทุกคน
ไม่ให้พูดในสิ่งที่เห็นหรือเจอ
ตามคลิปด้านล่างนี้ เขาอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ได้อย่างน่าสนใจ
มากครับ คือเขาตั้งคำถามว่าเป็นไปได้ไหมที่รัสเซียจะครอบครอง
อาวูธนี้หรืออาจจะถึงขั้นพัฒนาอาวุธลักษณะนี้ได้แล้ว สิ่งมีชีวิตที่
กลายเป็นหินได้ตรงนี้เป็นไปได้ครับเรียกว่า Fossil หรือกระบวนการ
การเกิด Fossil(Fossilization) ซึ่งแน่นอนสิ่งมีชีวิตชนิดนั้น ๆ จะ
ต้องเสียชีวิตลงก่อน และกระบวนการเกิด Fossil(Fossilization) นี้
ก็ใช้เวลานานถึงสองล้านปีขึ้นไป
การที่จะผลิตพลังงานอะไรขึ้นมาแล้วทำให้สิ่งมีชีวิตกลายเป็นหินทั้ง
ที่ยังเป็น ๆ อยู่เป็นสิ่งที่เกินความสามารถถ้าพิจารณาจากความ
ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของมนุษย์ ซึ่งจากปากคำของทหารที่รอด
ชีวิตมากล่าวว่าเหตุการณ์ที่เพื่อนทหารทั้งหมดกลายเป็นก้อนหินนี้
เกิดขึ้นในทันทีทันใดที่ทั้งหมดไปสัมผัสกับแสงประหลาดนี้
กระบวนการที่เร่งให้วัสดุกลายเป็นหินได้เร็วที่สุดในปัจจุบันที่พอ
จะทำได้ ในคลิปอธิบายว่าเป็นการนำไม้ก้อนหนึ่งไปแช่ในกรดแก่
สองวัน จากนั้นนำไปแช่ในสารละลายซิลิก้าอีกสองวัน จากนั้นก็นำ
ไปเผาที่อุณหภูมิความร้อนสูงมาก ๆ คือที่อุณหภูมิ 1400 องศา
เซลเซียส วัสดุที่ผ่านกระบวนการและนำไปเผาแทนที่จะไฟเหมือน
วัสดุทั่ว ๆ ไป แต่กลับจะเปลี่ยนเป็นวัสดุก้อนแข็งมาก ๆ เรียก
Ceramic Silicon Carbide. ซึ่งกระบวนการนี้ถึงแม้จะใช้เวลาน้อย
ที่สุดแล้วแต่ก็ยังต้องใช้เวลานานถึง 5 วัน
จากการตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับทหารทั้ง 23 นายที่ได้
เสียชีวิตไป ในสถานที่หรือภูมิภาคอื่นของโลกว่าเคยมีบันทึกหรือมี
เหตุการณ์ลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นบ้างหรือไม่ จากการสืบค้นก็พบ
ว่ามีเช่นกันครับ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเขตแดนของประเทศ
บราซิล เกิดขึ้นในราวกลางเดือนสิงหาคม ปี ค.ศ.1967 ก็นาน
เหมือนกัน เป็นเหตุการณ์ที่เกิดก่อนหน้าที่จะเกิดขึ้นในเขตแดนของ
ประเทศรัสเซียเสียอีก ในส่วนของประเทศบราซิลที่ชื่อว่า Pilar de
Goias มีเจ้าของฟาร์มท่านหนึ่งชื่อคุณ Inacio de Souza ท่านท่าน
นี้กับภรรยาของท่าน ได้พบว่ามีวัตถุบางอย่างจอดอยู่ในเขตแดน
ของไร่ที่ท่านเป็นเจ้าของ ลักษณะเป็นวัตถุกลมแบนลักษณณะที่
บรรยายไว้เป็นภาษาอังกฤษคือ "strange basin-shaped object."
คะเนเส้นผ่านศูนย์กลางของวัตถุประหลาดนี้คือ 115 ฟุต ก็ด้วยไม่
ทราบวัตถุประสงค์ว่ามาเพื่ออะไร หรือว่าวัตถุประหลาดนี้คืออะไรกัน
แน่ ก็ได้พกพาอาวุธติดตัวไปด้วยคือปืนสั้นขนาดเล็ก .44 ตอนที่เดิน
เข้าไปใกล้กับวัตถุประหลาดที่จอดอยู่นี้ ก็ได้สังเกตุเห็นสิ่งมีชีวิต
ขนาดเล็กดูคล้ายกับคน มีด้วยกันสามคนลักษณะเป็นคนหัวล้านคือ
บนศีรษะไม่มีผม ตามข่าวคือคุณ Inacio de Souza ตัดสินใจใช้
อาวุธยิงใส่กลุ่มคนตัวเล็กทั้งสามคน ซึ่งหลังจากที่ได้ตัดสินใจใช้
อาวุธไป สิ่งที่ได้รับกลับมาคือการโต้กลับ คือมีแสงประหลาดสีเขียว
ไม่แน่ชัดว่าจะถูกยิงมาจากคนทั้งสามหรือยิงมาจากวัตถุประหลาดนี้
แสงสีเขียวที่ว่านี้โดนเข้าที่ลำตัวของคุณ Inacio de Souza อย่าง
จัง หลังจากนั้นสิ่งมีชีวิตประหลาดทั้งสามพร้อมทั้งยานพาหนะของ
เขาก็บินหนีจากไป หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นคุณ Inacio de
Souza เกิดอาการไม่พึงประสงค์ขึ้น คือคลื่นเหียนอาเจียน เกิด
อาการชักเกร็งเป็นบางระยะ แพทย์ที่ให้การรักษาวินิจฉัยว่าเป็นโรค
มะเร็งเม็ดเลือดขาว(leukemia) ภายหลังต่อมาอีกสองเดือน
คุณ Inacio de Souza ก็ป่วยหนักจนจากโลกนี้ไป
ก็มีอีกเหตุการณ์หนึ่งมีบันทึกว่าเกิดขึ้นในเขตแดนของ
ประเทศบราซิลเช่นกัน เกิดขึ้นในราวเดือนกุมภาพันธ์ ปี ค.ศ.1969
ในส่วนของดินแดนที่ชื่อว่า Pirassununga อยู่ในเขตแดนของ
บราซิล
ชายบราซิลคนหนึ่งชื่อคุณ Tiago Machado พบเจอวัตถุชนิดหนึ่ง
อธิบายว่าเป็นวัตถุกลมแบน basin-shaped object สังเกตุเห็นจาก
ระยะไกลด้วยกล้องส่องทางไกล วัตถุนี้เปล่งแสงสีน้ำเงินเขียวออก
มาด้วย ด้วยความสงสัย ในขณะนั้นคุณ Tiago ขับรถยนต์อยู่ จึงได้
ขับตามแสงประหลาดนี้ไป จากการขับตามไปได้สักระยะจึงพบว่า
วัตถุประหลาดนี้ได้ลงจอดอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง คุณ Tiago ตัดสิน
ใจเปิดประตูรถเดินลงไปดูให้ชัดเจน จากสิ่งที่พบเห็นคือวัตถุ
ประหลาดที่กล่าวถึง ไม่เพียงเท่านั้น ข้าง ๆ วัตถุประหลาดนี้ยังมีสิ่งมี
ชีวิตขนาดเล็กคล้ายคน คะเนความสูงได้ราว 3 ฟุต 8 นิ้ว มีด้วยกัน
สองคน สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กนี้ใส่ชุดสีเงินที่ดูแล้วแนบไปกับร่างกาย
ของเขา ก็ทดลองเดินเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ จนเกือบจะถึงตัวของสิ่ง
มีชีวิตประหลาด จากการพิจารณาอย่างละเอียดแล้วสิ่งมีชีวิตทั้ง
สองนี้มีจมูกที่เรียกว่าเล็กมากหรือแทบจะเรียกว่าบี้แบนก็ได้ ซึ่งไม่
น่าจะเป็นคนอย่างแน่นอน ทั้งนี้ยังส่งเสียงบางอย่างที่ฟังไม่รู้เรื่อง
ออกมา คุณ Tiago เป็นคนสูบบุหรี่อยู่แล้ว ทดลองสร้างสัมพันธ์
ไมตรีโดยการส่งซองบุหรี่ที่มีบุหรี่ในซองให้กับสิ่งมีชีวิตประหลาด
ทั้งสอง หนึ่งในสิ่งมีชีวิตประหลาดทั้งสองหยิบซองบุหรี่แล้วชูขึ้น
เหนือศีรษะลักษณะการจับจับโดยมืออยู่เหนือซองบุหรี่ คุณ Tiago
พยายามเดินกลับมาที่รถของเขาเนื่องจากรู้สึกไม่ค่อยดีกับ
เหตุการณ์ ซึ่งสิ่งมีชีวิตประหลาดทั้งสองพร้อมทั้งยานพาหนะของ
พวกเขาก็ดูเหมือนกำลังจะจากไปด้วย มีแสงประหลาดสีน้ำเงินแดง
ถูกส่งมาจากที่ใดไม่ทราบได้ แต่น่าจะมาจากคนกลุ่มนี้แสง
ประหลาดนี้โดนเข้าที่ขาของคุณ Tiago อย่างจัง ในภายหลังแพทย์
ที่ให้การรักษาคุณ Tiago กล่าวว่า ลักษณะคล้ายกับโดนไฟฟ้าดูด
ค่อนข้างรุนแรง "electric shock burns," แต่สุดท้ายคุณ Tiago
รอดชีวิตคือสามารถรักษาจนหายได้ในเวลาเพียงแค่ไม่กี่วัน ตรงนี้
บางทีอาจจะเข้าใจได้ว่าคุณ Tiago ไม่มีความพยายามหรือเจตนา
จะไปทำร้ายพวกเขา จึงยังคงรักษาชีวิตไว้ได้
ยูเอฟโอลากรถไฟทั้งขบวนรวม 70 โบกี้
เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งมีคนอยู่ในเหตุการณ์จำนวนมาก
พอควรเช่นกัน และก็เป็นเรื่องที่เป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ของ
อดีตสหภาพโซเวียต เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1985 ตอนยังประเทศ
รัสเซียยังเป็นสหภาพโซเวียตอยู่ เจ้าหน้าที่คนขับรถไฟสองคนชื่อ
คุณ Sergei Orlov และคุณ V.Mironov เป็นเจ้าหน้าที่ทำหน้าที่ขับ
รถไฟซึ่งเป็นหัวรถจักรที่พ่วงไปอีก 70 โบกี้เปล่า จุดประสงค์เพื่อไป
ทำการบรรจุสินแร่เหล็กจากแหล่งซึ่งอยู่ในเมือง ๆ หนึ่งห่างออกไป
ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือชื่อเมือง Kostomuksha ซึ่งงานนี้ก็เป็น
งานประจำที่ได้รับมอบหมายให้ทำอยู่แล้ว การเดินทางนี้ก็จะต้อง
ผ่านภูมิประเทศที่เป็นป่า เป็นภูเขา ก็จะผ่านในเขตที่เรียกว่า
Karelian ในขณะที่เจ้าหน้าที่ทั้งสองอยู่ในห้องควบคุมเครื่อง คุณ
Orlov ได้สังเกตุเห็นอะไรบางอย่างสว่าง ๆ เคลื่อนที่ขนานไปกับ
รถไฟของเขา วัตถุสว่าง ๆ ที่ว่านี้ลักษณะเป็นไฟวงกลมดวงใหญ่ อยู่
ไม่สูงมากนัก สูงราวประมาณยอดไม้ จากการสังเกตุดวงไฟดวงที่ว่า
นี้เริ่มเคลื่อนที่เร็วขึ้นเรื่อย ๆ และเคลื่อนที่ตัดกับแนวต้นไม้เข้ามาอยู่
ในทางรถไฟ ที่รถไฟขบวนนี้กำลังเคลื่อนที่ไป ดวงไฟที่ว่านี้ตอนนี้
อยู่ทางด้านหน้าของราง ซึ่งอยู่ห่างไปทางด้านหน้าไม่ถึงกับไกลนัก
ประมาณ 50 เมตรเท่านั้นเอง ก็ด้วยความกลัวที่ว่าจะเกิดอุบัติเหตุ
ขึ้น คุณ Orlov ทำทุกวิถีทางทั้งผ่อนคันเร่ง เปิดวูดรถไฟเพื่อเตือน
และเบรคชลอความเร็วรถ
แต่ไม่ว่าจะทำทุกวิถีทางแล้ว รถไฟขบวนนี้ก็ยังไม่หยุดเคลื่อนที่
ทั้งยังไม่ชลอความเร็วรถอีกด้วย วัตถุประหลาดที่อยู่ข้างหน้า
เคลื่อนที่ได้เงียบมากไม่มีเสียงใด ๆ ออกมาเลย แต่ความแปลกอีก
อย่างที่สังเกตุเห็นก็คือ ขบวนรถไฟขบวนนี้ถึงแม้จะยังเคลื่อนที่ไป
ด้วยความเร็วคงที่แต่ก็ไม่ได้วิ่งไปชนกับวัตถุประหลาดนี้แม้แต่น้อย
คล้ายกับว่าวัตถุนี้ได้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยหรือมิเช่นนั้นก็ได้ดึง
รถไฟขบวนนี้ทั้งขบวนให้เคลื่อนที่ไปกับมัน
คุณ Mironov ตัดสินใจที่จะวิทยุไปบอกกับสถานี Novi Peski
ซึ่งเป็นสถานีด้านหน้าที่อยู่ใกล้ที่สุดที่รถไฟขบวนนี้จะต้องเคลื่อน
ผ่าน เจ้าหน้าที่ที่สถานีเป็นสุภาพสตรี เกิดความงุนงงไม่ค่อยเข้าใจ
สิ่งที่คุณ Mironov พูดว่ากำลังถึงอะไร แต่ได้ยินเสียงเอะอะของเจ้า
หน้าที่คนอื่นรวมทั้งผู้โดยสารด้านนอก จึงรีบวิ่งออกมาดูเหตุการณ์
สิ่งที่เห็นก็คือมีดวงไฟดวงหนึ่งวิ่งอยู่ด้านหน้าของรถไฟขบวนนี้คะเน
เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 13 ฟุต(ประมาณ 4 เมตร) โดยมีวัตถุ
อีกวัตถุหนึ่งรูปร่างคล้ายจานบินอยู่ด้านหน้าของดวงไฟประหลาดนี้
อีกที ซึ่งวัตถุรูปร่างคล้ายจานนี้ในภายหลัง คุณ Orlov และคุณ
Mironov กล่าวว่าไม่ได้สังเกตุเห็นเพราะว่าถูกวัตถุทรงกลม
ประหลาดนี้บังอยู่
ก่อนที่รถไฟจะมาถึงยังแพลตฟอร์มของชานชาลา วัตถุ
ประหลาดที่ว่านี้ได้เคลื่อนที่ออกไปยังด้านข้างและหายไป รถไฟยัง
คงเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเท่าเดิม โดยที่ก็ยังไม่สามารถควบคุม
เครื่องยนต์หรือเบรคได้ ไวเท่าความคิด เจ้าหน้าที่ที่ชานชาลารีบ
ทำการยกสับหลีกเพื่อให้รถไฟเคลื่อนที่ไปยังอีกรางหนึ่งเพื่อป้องกัน
การชนกับชานชาลา ก็หลังจากที่รถไฟเคลื่อนผ่านชานชาลาไปได้
ดูเหมือนกับว่ารถไฟขบวนนี้จะสามารถบังคับความเร็วการเคลื่อนที่
ได้อีกครั้ง คือมันเริ่มลดความเร็วลง แต่มันยังจบแค่นั้น เพราะว่าวัตถุ
ทรงกลมประหลาดเดิมนี้ได้กลับมาอยู่ด้านหน้าของรถไฟอีกครั้ง
หนึ่ง แล้วรถไฟก็เริ่มเคลื่อนที่ตามวัตถุประหลาดนี้ไปด้วยความเร็ว
เดิมเช่นเดิมทุกอย่าง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นไปต่อเนื่องถึง 1 ชั่วโมงที
เดียวคำนวนระยะทางที่รถไฟเคลื่อนที่ตามวัตถุกลมประหลาดนี้ได้
ถึง 30 ไมล์ทีเดียว จนสุดท้ายขบวนรถเดินทางใกล้ถึงสถานี
Zastava วัตถุกลมประหลาดนี้ได้บินหายไปอีกครั้ง คราวนี้ขบวน
รถไฟเริ่มควบคุมความเร็วได้อีกครั้งหนึ่ง รถไฟสามารถหยุดได้
อย่างสนิทที่สถานี Zastava
คุณ Orlov ได้ลงมาจากขบวนรถเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อย
และความเสียหายว่ามีตรงจุดใดบ้าง วัตถุทรงกลมประหลาดที่ว่านี้
ตอนนี้ดูเหมือนจะลอยขึ้นไปอยู่เหนือศีรษะ จากการตรวจสอบแล้ว
พบว่ากระจกด้านหน้าแตกเสียหายพอสมควร คุณ Orlov ได้ขึ้น
มายังรถไฟอีกครั้ง ซึ่งก็ได้ถูกวัตถุกลมประหลาดนี้ลากไปด้านหน้า
อีกชั่วระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งครั้งนี้วัตถุประหลาดนี้ได้จากไปอย่างถาวร
จากการรวบรวมระยะเวลาทั้งหมดที่รถไฟเคลื่อนที่ตามวัตถุกลม
ประหลาดนี้แล้ว พบว่าใช้เวลานานถึง 1 ชั่วโมง 20 นาที รวมระยะ
ทางได้เกินกว่า 50 กิโลเมตร แต่แปลกอย่างเหลือเชื่อ น้ำมันดีเซล
ของเครื่องยนต์ที่ควรจะถูกเผาผลาญไปจากการวิ่งกลับยังเหลืออยู่
คือประหยัดน้ำมันที่ควรจะหมดไปกับการวิ่งได้มากถึง 300 กิโลกรัม
ของน้ำมันดีเซลรถไฟเลย จึงสรุปว่าการเดินทางทั้งหมดในระยะ
เวลา 1 ชั่วโมง 20 นาทีนี้ เป็นการเดินทางของรถไฟโดยการลาก
ของวัตถุกลมประหลาดนี้แทนการทำงานของเครื่องยนต์ปกติ ผู้
บังคับบัญชาของคุณ Orlov และคุณ Minorov ไม่สามารถหาคำ
อธิบายใด ๆ ที่มีเหตุผลมาอธิบายได้ เป็นอีกเรื่องที่น่าจดจำครับ ว่ายู
เอฟโอ หรือวัตถุลึกลับอะไรก็ไม่ทราบได้ ซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลาง
เพียงแค่ 4 เมตร จะสามารถบังคับขบวนรถไฟทั้งขบวน 70 โบกี้ซึ่ง
มีมวลน้ำหนักมหาศาลให้เคลื่อนที่ไปได้ไกลเท่าที่มันต้องการ(ถ้ามัน
ไม่เคลื่อนที่จากไปเสียก่อน)