ยูเอฟโอที่ถ่ายได้แถว ๆ ภูเขาหิมาลัย
เป็นไฟล์วีดีโอของ ยูเอฟโอที่ถ่ายได้บริเวณแนวเทือกเขาหิมาลัย
ระหว่างพรมแดนของอินเดียและจีน แนวเทือกเขาหิมาลัยนั้น ยาวเหยียด
กว้างใหญ่ เป็นพรมแดนของหลาย ๆ ประเทศเลยครับ
แนวนี้ยาวเลยมาถึงภาคตะวันตกของประเทศไทยเลย
และแนวนี้เองที่เป็นเส้นแบ่งเขตแดนทางด้านตะวันตกระหว่างประเทศไทย กับ
สหภาพพม่า แต่ว่าแนวเทือกเขาหิมาลัยในช่วงของพรมสาธารณรัฐประชาชนจีน
และสาธารณรัฐอินเดียนี้เท่าที่พอทราบ
เป็นอีกจุดหนึ่งที่มีคนพบเห็นยูเอฟโอบ่อย มาก ๆ(UFO Hot Spot)
และไม่เพียงเท่านั้นยังอาจจะเข้าใจได้ว่าเป็นอีกหนึ่งในฐานทัพของยูเอฟโอที่อยู่
บนโลกด้วย
ในอดีตนั้นประเทศมหาอำนาจทั้งสองทำสงครามเรื่องเขตแดนกันบ่อยครั้ง
สาเหตุหนึ่งทีนักวิเคราะห์พูดกันก็จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องนี้ด้วย
ถ่ายทำจากเครื่องบินโดยสารพลเรือน
ยูเอฟโอบินไปทางขวาแล้วก็หักเลี้ยวกะทันหันกลับไปทางเดิม
ไม่มีทางที่เครื่องบินบนโลกจะทำอะไรอย่างนี้ได้แน่นอนครับ
ท่านควรใช้วิจารณญาณในการรับชมครับ
https://www.youtube.com/watch?v=6-V9XvNlBrw
ในเรื่องของฐานทัพของยูเอฟโอแถว ๆ ภูเขาหิมาลัยนี้
พูดคุยกันมานานหลายสิบปีแล้วครับ ชาวบ้านแถว ๆ นั้น
พบเห็นจนแทบจะกลายเป็นเรื่องปกติ บางทีเจอทีเดียวหลาย ๆ ลำ
บางทีออกมาจากสถานที่ที่เดียวกันทยอย ๆ กันออกมาหลาย ๆ ลำ
อยากฝากให้ท่านชมด้วยครับ
มียูเอฟโอบินออกมาจากภูเขาในเวลาไล่เลี่ยกัน 5 ลำติด ๆ กัน
ซึ่งปกติแล้วจะยากที่จะพบเห็นครับ
เพราะส่วนใหญ่คนจะถ่ายวีดีโอพบเห็นยูเอฟโอครั้งละ 1 ลำเป็นส่วนใหญ่
ยูเอฟโอทั้ง 5 ลำนี้บินไปในทิศทางเดียวกันด้วย
ส่อให้เห็นถึงว่าพวกเขาเป็นพวกเดียวกัน
https://www.youtube.com/watch?v=G1bUZKs9nvo
https://www.youtube.com/watch?v=GGKBM4Chy3w
https://www.youtube.com/watch?v=afIKYHtmr7E
แต่ถ้าหากจะพูดถึงมนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์ที่อยู่แถว ๆ เชิงเขาหิมาลัยแล้ว
จะเป็นมนุษย์ต่่างดาวสายพันธุ์ Dropas การสำรวจในถิ่นทุรกันดานแถบ ๆ
หิมาลัยนี้ ฝรั่งเขาทำการสำรวจกันมานานพอควรแล้วครับ
และก้ดูเหมือนจะเจออะไรแปลก ๆ
พอควรทีเีดียวทั้งนี้ยังสามารถรวบรวมวัตถุพยาน
ภาพถ่ายรวมทั้งคำบอกเล่าของบุคคลต่าง ๆ ได้ด้วย
จากภาพด้านบนคณะนักสำรวจเทือกเขาหิมาลัย ในปี 1947 นำโดย ดร.คาร์ล
โรบิน อีวาน ค้นพบบุคคลในภาพทั้งสองซึงเป็นสามี ภรรยากัน
อ้างว่าเขาทั้งสองนี่ละคือบุคคลที่สืบสายพันธุ์มาจากมนุษย์พันธุื์์ Dropas
ซึ่งเป็นมนุษย์ต่างดาวที่กาลครั้งหนึ่งมาเยือนโลก
แล้วประสบอุบัติเหตุกลับบ้านไม่ได้ โดยประมาณ 10,000 ปีก่อนคริสตกาล
จำเป็นต้องอาศัยเร่ร่อนอยู่บนโลก
จนไปสืบพันธุ์กับมนุษย์บนโลก เผ่าฮั่น มนุษย์สายพันธุ์ Dropas
นี้รูปร่างไม่สูงใหญ่อะไรเลยครับ ส่วนสูงเฉลี่ยเมื่อโตเต็มที่ไม่น่าจะเกินกว่า 4 ฟุต
ส่วนผู้หญิงก็จะยิ่งเล็กกว่าอีก
ปี ค.ศ. 1938 บนเทือกเขาสูง Bayan Kala Ula
แนวพรมแดนระหว่างธิเบตกับจีน(ในอดีตเป็นคนละชนเผ่ากัน)
คณะนักสำรวจโบราณคดี ได้สำรวจถ้ำแห่งหนึ่งในเทือกเขาแถบนี้
เทือกเขาแถบหิมาลัยนี่ไม่ธรรมดาเอามาก ๆ เลยครับ
แต่ละเทือกอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลอย่างน้อย ๆ เป็นหมื่นฟุตขึ้นไป
คนสำรวจน้อยเป็นพื้นที่ตกสำรวจ
บางแห่งแม้กระทั่งคนเดินเ้ข้าไปยังไม่เคยก็ว่าได้
ในถ้ำแห่งหนึ่งแถบ ๆ เทือกเขา Bayan Kala Ula ปรากฎว่าคณะนักสำรวจ
สำรวจเจอโครงกระดูกโบราณรูปร่างประหลาด
ซึ่งดูผิดรูปร่างไปจากมนุษย์พันธุ์ปกติทั่ว ๆ ไป ศีรษะใหญ่ รูปร่างผอมบาง
แต่ในขณะที่กำลังตรวจสอบซากศพมนุษย์ประหลาดอยู่
หนึ่งในคณะสำรวจก็ไปสะดุดกับวัตถุรูปร่างประหลาด ลักษณะเป็นหินกลม ๆ
ถูกฝังอยู่ประมาณครึ่งใบในถ้ำแห่งนั้นเอง หินนี้มีรูปร่างที่ดูเก่าแก่มาก
ลักษณะโดยทั่วไปมีรูอยู่ตรงกลาง มีร่องวนเป็นเกลียว
ไม่มีใครเข้าใจถึงสัญลักษณ์ตรงนี้ ในปี 1965
หินในลักษณะเดียวกันนี้อีกประมาณ 716
อันก็ได้ถูกค้นพบอีกในถ้ำเดียวกันนี้เอง
ทั้งในถ้ำยังได้ค้นพบภาพวาดเกี่ยวกับระบบสุริยจักรวาลและดาวบางดวงที่ไม่รู้จั
กอีกด้วยภาพนี้ในภายหลังจากการตรวจสอบอายุธาตุพบว่ามีอายุโดยประมาณย้
อนหลังไป12,000 ปีก่อน
ท่านครับในอดีตเป็นหมื่นกว่าปีก่อน มนุษย์เรายังอาศัยอยู่ในถ้ำครับ
ตามประวัติที่บันทึกและสอบถามจากคนในละแวกนั้น เล่าต่อ ๆ มากันว่า
กาลครั้งหนึ่งมีมนุษย์ต่างดาวที่ตกลงบนโลกนี้ถูกตามล่าโดยมนุษย์ในถ้ำข้าง ๆ
เขา ถูกฆ่าถูกทำร้ายเพราะเห็นว่ารูปร่างหน้าตาน่าเกลียด อัปลักษณ์ ทั้ง ๆ
ที่มนุษย์เหล่านี้มาเพื่อเจตนาดี
https://www.youtube.com/watch?v=afIKYHtmr7E
หิน Dropas นี่ตอนแรก ๆ ไม่่ค่อยจะมีใครเชื่อว่าจะไปเชื่อมโยงกับยูเอฟโอ
หรือสิ่งมีชีวิตนอกโลก
แต่ในภายหลังสิ่งที่น่าทึ่งก็เกิดขึ้นเพราะว่าองค์การบริหารการบินอวกาศ
จับภาพวัตถุบางอย่างที่อยู่นอกโลกได้
โดยวัตถุดังกล่าวนี้มีลักษณะที่ใกล้เคียงกับหิน Dropas มาก ๆ
ท่านลองชมดูครับ เป็นไฟล์วีดีโอของจริงของ NASA เขา จับภาพ Dropas
stone ทั้งที่อยู่ใกล้ ๆ กับดวงอาทิตย์ โดยกล้องอวกาศ SOHO(วันที่ 2 พ.ค.
2012) และก็ยังจับภาพ Dropas stone ในจุดที่อยู่ใกล้ ๆ กับโลกได้ด้วย(ในปี
1996)
ในปี 1996 กระสวยอวกาศหมายเลขที่ STS-75
องค์การบริหารการบินอวกาศ ส่งอุปกรณ์ผลิตพลังงานบางอย่างขึ้นสู่อวกาศ
ซึ่งจะมีความยาวหลังจากการติดตั้งแล้วเสร็จที่ 12 ไมล์ เรียก electrodynamic
tether ระบบผลิตพลังงานนี้ถ้าประสบความสำเร็จในการทดลอง
จะสามารถลดค่าใช้จ่ายของสถานีอวกาศ ได้ถึงปีละ 2,000
ล้านเหรียญเลยทีเดียว ในกระบวนการทดสอบนี้ทางองค์การบริหารการบิน
โดยยานอวกาศโคลัมเบียได้จับภาพวัตถุบางอย่าง ที่เคลื่อนที่ผ่าน
electrodynamic tether ได้วัตถุนี้เมื่อนำไปเทียบกับหิน Dropas แล้ว
เหมือนกันราวกับแกะก็ว่าได้
https://www.youtube.com/watch?v=KlQkAFtJnYw
ผมเจอคลิปอยู่คลิปหนึ่งที่น่าสนใจเหมือนกัน
แต่ไม่สามารถยืนยันความถูกต้องได้
แต่ว่าผมลองตรวจสอบไปตามพิกัดในคลิปที่กล่าวอ้างแล้วเป็นเช่นนั้นจริง
ครับ พิกัด(Coordinate)ดังกล่าวคือ 27°47'43.40"N 86°49'6.40"E
ท่านลองชมคลิปนี้ดูก่อนครับ
ท่านลองทำเองได้เลยครับ คือว่าให้ท่านลองคลิกเข้าไปที่ Google Maps
ก่อนครับ https://www.google.co.th/maps
จากนั้นแล้วในช่อง Search Google Maps
ให้ท่านใส่พิกัดดังกล่าวลงไปแล้วกด Enter ท่านจะได้ภาพนี้ขึ้นมาครับ
บริเวณนี้เป็นแนวพรมแดนระหว่าง China - India ตามแผนที่ใน
Google Map
ตามคำอธิบายในคลิป บริเวณดังกล่าวมีชื่อว่า Kongka La อยู่แถว ๆ
ภูเขาหิมาลัยอันกันดาร ซึ่งเป็นบริเวณที่เป็นข้อพิพาทในอดีตระหว่าง
สาธารณรัฐอินเีดีย กับ สาธารณรัฐประชาชนจีน
ซึ่งสุดท้ายได้ข้อตกลงกันว่าบริเวณดังกล่าวต้องเป็นเขตปลอดทหาร
บริเวณนี้นักวิเคราะห์เชื่อกันว่าเป็นที่ตั้งฐานทัพของวัตถุบินลึกลับ
ซึ่งรัฐบาลกลางของทั้งสองประเทศทราบดีอยู่เต็มอก
แต่ไม่ยอมพูดออกมาสักคำ
ซึ่งเรื่องนี้ดูเหมือนว่าประเทศมหาอำนาจเขาก็ระแคะระคายเรื่องนี้อยู่
เหมือนกัน จึงอาจจะเป็นสาเหตุให้เกิดภาพอย่างนี้ปรากฎขึ้น ทั้ง ๆ
ที่บริเวณโดยรอบก็เป็นภูเขา เป็นหิมะธรรมดา ๆ ซึ่งดูแห้งแล้ว กันดาร
และยากต่อการเข้าถึงเป็นอย่างยิ่ง
ทำไมคนธรรมดาต้องขนทรัพยากร และเงินทอง
อันมโหฬารมาสร้างฐานทัพกันในบริเวณนี้ ทั้ง ๆ
ที่ในประเทศอินเดียกับประเทศจีนก็มีพื้นที่กว้างใหญ่มหาศาล
(จีนใหญ่กว่าไทยประมาณ 20 เท่า อินเดียใหญ่กว่าไทยประมาณ 10
เท่าเศษ) บริเวณนี้หากไม่ใช่ฐานทัพของมนุษย์จากนอกโลกแล้ว
ก็คงต้องเป็นฐานทัพลับสุดยอดเป็นอย่างยิ่ง
ซึ่งก็ไม่รู้จะเป็นของประเทศไหนดี เพราะเป็นพรมแดนร่วม
นักวิเคราะห์กล่าวต่อไปว่าบริเวณที่จะเข้าถึงตรงนี้ได้เป็นหน้าผาครับ
ซึ่งนักปีนเขาหากจะพิชิตยอดเขาเอเวอร์เลสแล้วอาจจะต้องปืีนหน้าผา
ผ่านหรือเข้าใกล้จุด ๆ นี้ ทั้งอันตราย อากาศบริเวณนี้ก็น้อยมาก
หรือหากเป็นคนธรรมดาจะเข้าไปได้ก็คงจะต้องเป็นทางอากาศอย่างเดียว
ซึ่งก็มักจะมีรายงานจากนักบินที่บินผ่านเข้าใกล้บริเวณนี้ว่าเจออากาศ
ยานรูปร่างแปลก ๆ เสมอ ทั้งนิวเดลี ทั้งปักกิ่ง ทั้งวอชิงตัน
ปิดปากเงียบสนิทตามเคยครับ
ประวัติบริเวณพื้นที่นี้ Konka La โดยสังเขป
Kongka La is the low ridge pass in the Himalayas. It is in the
disputed IndiaChina
border area in Ladakh. The Chinese held northeastern part is
known as Aksai Chin and Indian South West is known as
Ladakh. The area is one of the least accessed areas in the world
and by agreement the two countries do not patrol this part of
the border.
But there is something much more serious happening in
this area. Kongka La is experiencing some strange
phenomenon and suspicious objects coming out of the
inaccessible huge mountains (Himalayas).
According to the few local people on the Indian and
Chinese sides, this is where the UFOs are seen coming out of
the ground. According to many, the UFO underground bases
are in this region and both the Indian and Chinese Government
know this very well but both the Governments refuse to come
out and say what these are. The maximum UFO cluster
formations happen in Aksai Chin Lake area. The main UFO base
is in Soda Plain and uses Aksai Chin's largest river, the
Karakosh. The region is almost uninhabited, has no permanent
settlements, and receives little precipitation as the Himalayas
and the Karakoram block the rains from the Indian monsoon.
This is the region where the Euresian plate and the
Indian plate have created convergent plate boundaries.
Convergent plate boundaries are formed where one plate dives
under another. Consequently, this is one of the very few areas
in the world where the depth of the earth's crust twice as thick
as in other places. It is perfect for the creation of underground
bases very deep into the
tectonic plates. Mystery humanoid like robot sighting In 2004,
a UFO sighting was reported in the LahaulSpiti region of
Himachal Pradesh, south of Ladakh by a five member
expedition of geologists and glaciologists led by Dr Anil
Kulkarni of the ISRO's Space Applications Centre at
Ahmedabad. They had filmed a four foot tall 'robotlike' figure,
that 'walked' along the mountain ridge, took off vertically and
disappeared in the sky when excited scientists moved closer.
Between August 1 and October 15, 2012, The Indian Army and
IndoTibetan Border Police Force (ITBP) have reported
unidentified flying objects (UFOs) in the Ladakh region of
Jammu and Kashmir. An ITBP unit based in Thakung, close to
the Pangong Tso Lake, reported over 100 sightings of luminous
objects.
In September 2012, the army moved a mobile ground
based radar unit and a spectrum analyzer that picks up
frequencies emitted from any object to a mountaintop near the
160 km.long, ribbonshaped Pangong Lake that lies between
India and China.
The radar could not detect the object that was being tracked
visually, indicating it was nonmetallic. The spectrum analyzer
could not detect any signals being emitted from them.
The army also flew a reconnaissance drone in the direction of
the floating object, but it proved a futile exercise. The drone
reached its maximum altitude but lost sight of the floating
object. A team of astronomers from the Indian Astronomical
Observatory at Hanle, 150 km south of the lake, studied the
airborne phenomena for three days. The team spotted the
flying objects, army officials say, but could not conclusively
establish what they were. They did, however, say that the
objects were "non celestial" and ruled out meteors and planets.
The Question that arises in our mind is, Is the UFO base area
along an earth grid line?
It’s remarkable that this UFO area is right along a very
strong grid line. Is there a connection between the locations of
reported UFO sightings and the latitude lines that divide the
Earth into a grid? The UFOs utilize earth’s energy lines ?
Some theorists claim that there is a fundamental relation
between UFO phenomenon and magnetic vortex gravity
anomalies in the Grid. Is gravity a manifestation of energy from
the Earth, connected with the Grid? If so, can they use certain
points on
the Grid to master gravity? Are UFOs defying the Earth's
gravity field, using some sort of antigravity? Bruce Cathie a
former pilot has observed the UFO phenomena for many years.
Bruce Cathie “Verified sighting reports came to hand and I
plotted on a map the precise positions of the sightings, and not
to my surprise found that invariably the UFO positions fell with
uncanny precision on the grid's lines of longitude or latitude
never
in the intervening spaces”. The energy Grid and UFOs We may
assume that multiple UFO bases exist in the 'Kongka La pass'
area and in Aksai Chin, the Chinese
controlled part of Kashmir. The bases extend from India's
Ladack to China's Aksai Chin. That the sightings are real and
that there is a strong indication that earth’s energy lines may
play a role related to all the unexplained UFO sightings in this
area.
หลักฐานยืนยันความมีอยู่จริงของเรื่องนี้
เหตุการณ์การพบเห็นนี้อยู่ในไฟล์ลับของคุณพ่อ CIA มานานแล้วครับ
นั่นก็คือการพบเห็นเหตุการณ์ลักษณะีนี้มีมานานแล้วเช่นกัน
คือบันทึกนี้ลงไว้ว่าเป็นปี 1968 ประมาณเดือนกุมภาพันธุ์ ถึง
เดือนมีนาคม หรือเมื่อประมาณเกือบ ๆ 50 ปีก่อน
เหตุการณ์การพบเห็นนี้คาบเกี่ยวในพื้นชายแดนของประเทศ
เนปาล, ภูฐาน, จีน, อินเดีย
ไฟล์เหล่านี้ในอดีตเป็นอีกชั้นของความลับ(13 ล้านหน้า)
ที่ไม่สามารถเปิดเผยได้
ซึ่งเรื่องของวัตถุบินลึกลับที่อยู่ในไฟล์เหล่านี้แล้วจะมีอยู่โดยประมาณ
1,700 case ที่บันทึกไว้
แต่ปัจจุบันท่านยินยอมให้เปิดเผยได้แล้ว ตามลิงค์ด้านล่างนี้ครับ
https://www.cia.gov/library/readingroom/docs/CIA-RDP81R00560R000100070007-8.pdf
ในปี ค.ศ. 1968 นั้นมีรายงานการพบเห็นวัตถุลึกลับมาก ๆ
ทีเดียวในเขตรอยต่อของประเทศ เนปาล, ภูฐาน
และประเทศใกล้เคียงในแถบ ๆ นั้น ผมอธิบายสิ่งที่ประมวลได้ครับคือ
ประมาณเวลา 09.00 น. 19 กุมภาพันธ์ พบเห็นวัตถุที่เคลื่อนที่ได้เร็วมาก
ๆ รูปร่างยาว ๆ พบเห็นการเคลื่อนที่บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ของประเทศเนปาลเข้าไปยังเขตแดนของสาธารณรัฐอินเดีย(รัฐสิกขิม)
จากปากคำของผู้พบเห็นวัตถุนี้เปล่งแสงสีเขียวและสีแดงออกมา
มีเสียงดังมากตามมาหลังจากที่วัตถุนั้นเคลื่อนที่ผ่านไป
จากนั้นเพียงแค่สองวันเท่านั้น
มีรายงานว่าพบเห็นวัตถุไม่ปรากฎสัญชาติที่เมืองหลวงของประเทศภูฐาน
(เมืองทิมพู) วัตถุนี้เปล่งแสงสีน้ำเงินออกมาเคลื่อนที่อย่างเงียบ ๆ
โดยทิศทางตะวันออกไปยังตะวันตกผู้พบเห็นกล่าวว่าวัตถุนี้น่าจะมีทิศทาง
การเคลื่อนที่เริ่มต้นมาจากทิเบต
วันที่ 4 มีนาคม 1968 พบเห็นยูเอฟโอสองลำ(Duo Ufo)
เคลื่อนที่อยู่ในเขตแดนรอยต่อระหว่างอินเดียและจีน
บินเข้าไปในฐานทัพอากาศของอินเดีย Fukche
วัตถุที่เห็นเป็นแสงสีขาวที่เคลื่อนที่ตามมาด้วยเสียงที่ดัง
ภิกษุที่อยู่ในเขตแดนประเทศเหล่านี้กล่าวว่า
การพบเห็นลักษณะนี้มีมานานแล้ว ทราบมานานแล้ว
ซึ่งดูเหมือนเรื่องนี้ในอดีตฝ่าย Nazi
ของเยอรมันก็เคยเข้ามาสืบเรื่องนี้ในภูมิภาคนี้เช่นกัน
วันที่ 25 มีนาคม 1968 ที่ตำบล Kaski
ภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศเนปาล ตามข่าวว่าค้นเจอ Flying
Saucer หรือจานบินตก
เป็นโลหะรูปจานขนาดใหญ่ซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางราว 6 ฟุต สูง 4 ฟุต
พบอยู่ในแอ่ง(Crater) ที่เมือง Baltichaur ระยะทางประมาณ 5 ไมล์
ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือจาก Pokhara
(มีรายงานว่าพบเจอจานบินที่เมือง Turepasale และ Talakote
ที่เนปาลเช่นกัน)
แผนที่แคว้นอุตรประเทศ อินเดีย
ที่ตั้งของเมือง Patala
จริง ๆ แล้วพื้นที่บางส่วนทางภาคเหนือของสาธารณรัฐอินเดียนั้น
เป็นส่วนที่คนในพื้นที่รู้กันมานานมากแล้ว น่าจะเป็นพัน ๆ ปี ว่าเป็นแหล่งที่
อยู่ของสิ่งมีชีวิตหรืออะไรสักอย่างที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พื้นที่ระแวกนี้เป็นจุด
ที่กำเนิดของศาสนาสำคัญบางศาสนาในอดีต สิ่งมีชีวิตหรืออะไรก็ไม่รู้นั้น
รู้จักกันในชื่อ Naga ภาษาบาลี นาคา นาคาเป็นสิ่งมีชีวิตหรืออะไรก็ไม่รู้
เหมือนกันที่ถูกบันทึกอยู่ในคำภีร์โบราณ ตำนานโบราณของ Hindu หรือ
Bhudism สิ่งมีชีวิตชนิดนี้ทุกวันนี้ยังตรวจสอบไม่ได้ยังสรุปไม่ได้ว่าคือ
อะไรกันแน่ ไม่ปรากฎการพบเห็นจะพบเห็นก็จะเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล
Naga ตามที่บันทึกมีรูปร่างเป็นอสรพิษ อาศัยอยู่ใต้ผืนพิภพ สามารถ
จำแลงร่างเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น สามารถสร้างอิทธิฤทธิ์ ปาฎิหารแปลก ๆ
ออกมาได้ ตรงนี้คนในพื้นที่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันรู้เรื่องนี้ดีมานานมาก
แล้วด้วย แต่ว่า ฝรั่งตะวันตกคือเยอรมันนีรู้เรื่องนี้และสืบสวนเรื่องนี้อย่าง
จริงจังก็โดยประมาณช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยอาศัยความร่วมมือกับ
ฝ่ายอักษะด้วยกันคือ ญี่ปุ่น และคนในพื้นที่ พบว่าพื้นที่แห่งนี้มีความเป็น
ไปได้มาก ๆ ว่าเป็นส่วนที่ตั้งของมนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์หนึ่งเรียกว่า
Reptelians ตรงบริเวณที่ว่านี้กินพื้นที่ในส่วนของภาคตะวันตกเฉียงใต้ใน
ทิเบตไปจนถึงอนุทวีปทางภาคเหนือของอินเดียในส่วนของรัฐอุตรประเทศ
เมือง Benares พื้นที่ที่ว่านี้เป็นอาณาจักร(empire) ที่มีชื่อเรียกว่า
Patala หรือแปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า "Snakeworld" ในตำนาน
โบราณของฮินดู จุดนี้เป็นที่อยู่ของ นาคา เป็นทั้งเทพและปีศาจที่มี
ร่างกายไปในทางสัตว์เลื้อยคลาน ทางเข้าสู่ Snakeworld ที่บันทึกกันมามี
อยู่สองจุดด้วยกันคือบ่อน้ำที่ Sheshna เมือง Benares ลักษณะที่ปรากฎ
ของบ่อน้ำนี้ก็เป็นไปตามภาพข้างล่างนี้ ตามตำนานด้านล่างของบ่อน้ำนี้
คือจุดที่จะสามารถเชื่อมต่อกับเมืองบาดาล หรือ Patala ซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่
ของ นาคา หรือสิ่งมีชีวิตเชื่อว่าเป็นมนุษย์ต่างดาวอีกสายพันธุ์หนึ่งที่อยู่บน
โลกของเรามานาน
มากแล้วแต่อยู่ใต้ผืนพิภพ ปัจจุบันฝรั่งเขาทราบเรื่องนี้กันดีแล้ว ฝรั่งเรียก
มนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์นี้ว่า Reptelians
อีกทางหนึ่งที่จะไปยังเมืองใต้บาดาลผืนพิภพหรือ Patala ได้จะอยู่ใน
เขตแดนของทิเบต 500 ไมล์ไปทางตะวันตกของเมืองหลวงลาซาอยู่ใน
ระดับความสูง 15,000 ฟุตจากระดับน้ำทะเลปกติ ลักษณะเป็นทะเลสาป
ซึ่งทะเลสาปแห่งนี้เรียกได้ว่าเป็นทะเลสาปน้ำจืดที่อยู่สูงที่สุดในโลกมีชื่อ
เรียกกันว่า Lake Manasarovar บริเวณทะเลสาปแห่งนี้จะมองเห็นภูเขา
ไกรลาส อีกสถานที่ลึกลับและเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ อีกแห่งหนึ่งที่เป็น
ความเชื่อของศาสนา บริเวณนี้ ฝรั่งบอกว่าเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ศาสดา
ของศาสนาพุทธในอดีตมาบำเพ็ญ
สมาธิ(meditative retreat)
เขาไกรลาส อยู่ในเขตปกครองตนเองทิเบต อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล
6,638 เมตร(21,778 ฟุต) ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของหลาย
ศาสนา เช่น ฮินดู พุทธ เชน ฯลฯ ในศาสนาฮินดูเชื่อว่าเขาไกรลาสนี้
เป็นศูนย์กลาง
ของโลกมนุษย์เรา เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างโลกกับสวรรค์ เขา
ไกรลาสอยู่ห่างจากขั้วโลกเหนือ 6,666 กิโลเมตรอยู่ห่างจากสโตน
เฮ้นในประเทศอังกฤษ 6,666 กิโลเมตร ในขณะที่อยู่ห่างจากขั้ว
โลกใต้ 13,332 กิโลเมตร(ก็คือตัวเลข 6,666 x 2) สามารถเข้าไป
ชมได้ก็เฉพาะไกล ๆ หรือบริเวณเชิงเขาไม่มีใครกล้าขึ้นไป เพราะ
เชื่อต่อ ๆ มาว่าสถานที่แห่งนี้เป็นที่พำนักของเทพเจ้า(ศิวะ) ในแต่ละ
ปีมีนักแสวงบุญหลากหลายศาสนามายังสถานที่แห่งนี้เพื่อสักการะ
ปฎิบัติธรรม ความแปลกอีกอย่างหนึ่งของเขาไกรลาสคือ หากผู้ใดผู้
หนึ่งเข้าไปใกล้บริเวณเขาไกรลาสแล้วละก็ สิ่งที่จะสังเกตุเห็นได้
อย่างชัดเจนคือ ผมและเล็บจะยาวหรืองอกขึ้นเร็วอย่างผิดปกติ ก็
คือภายในระยะเวลา 12 ชั่วโมงที่ใกล้กับเขาไกรลาส ผมและเล็บจะ
ยาวออกมาเท่ากับสภาวะปกติที่อยู่ที่บ้าน 2 สัปดาห์เลยทีเดียว และก็
บริเวณดังกล่าวนี้ก็มีปรากฎการณ์แปลก ๆ
เหนือธรรมชาติให้ชาวบ้านบริเวณนั้นพบเห็นเสมอ ๆ ซึ่งไม่สามารถ
จำแนกได้อย่างชัดเจนว่าคืออะไร
ทะเลสาปบริเวณนี้ก็มีความแปลกเช่นเดียวกัน คือมีสองทะเลสาปที่อยู่ใกล้
กันมาก ทะเลสาปหนึ่งเป็นทะเลสาปน้ำจืดน้ำเป็นสีน้ำเงิน มีรูปทรงของ
ทะเลสาปเป็นวงกลมชื่อว่าManasarovar อีกทะเลสาป
หนึ่งกลับเป็นทะเลสาปน้ำเค็มน้ำเป็นสีน้ำเงินเข้มกว่า มีรูปทรงของทะเล
สาปเป็นเสี้ยววงเดือนชื่อว่า Rakshas Tal
ทะเลสาปน้ำจืดน้ำมีความสงบและค่อนข้างนิ่งในขณะที่ทะเลสาปน้ำเค็ม
กลับมีกระแสน้ำที่เชี่ยวและปั่นป่วนมากกว่า